เสียงระเบิดกัมปนาทครานี้ทำให้ผู้อาวุโสฮวาเฟิงรับรู้ถึงการมีอยู่ของฉู่หลิวเยว่ได้สำเร็จ
ประเด็นก็คือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ว่องไวนัก ในใจเขากำลังนึกอยากเรียกหาคนอยู่แล้ว ด้วยอารามพะวักพะวนเมื่อมองเห็นผู้อาวุโสวั่นเจิง จึงเอ่ยปากเรียกออกไปเสียเดี๋ยวนั้น มิทันได้เห็นว่าด้านข้างกันนั้นยังมีฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ด้วย
ภายในลานนั้นพลันเงียบกริบลงในบัดดล
มีเพียงกลิ่นไหม้ที่ลอยคลุ้งไปทั่วที่เป็นสิ่งป่าวประกาศชัดเจนว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น
สายตาของฉู่หลิวเยว่จดจ้องไปยังหม้อต้มที่ไฟมอดลงแล้ว ทั้งภายในและบริเวณขอบหม้อล้วนเปรอะคราบดำเขรอะ
พลาดไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้น…
แม้แต่ลวดลายด้านบนเองก็กำลังจะวาดสลักลงไปได้เสร็จสมบูรณ์อยู่แล้วเทียว!
มือของนางค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
บรรยากาศพลันหนักอึ้งและดูเปราะบางขึ้นมาโดยพลัน
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงถึงได้รู้สึกตัวว่าตนทำอันใดพลาดไป เขาเผยอปากอ้าๆ หุบๆ พลางมองไปยังผู้อาวุโสวั่นเจิงด้วยสายตากระวนกระวายอยู่หลายส่วน
“คือว่า…ข้าคงมาผิดเวลาไปหน่อยกระมัง…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงปรายตามองเขาด้วยสายตาทะมึน
นี่ยังต้องถามอีกหรือ?!
เมื่อครู่นี้อีกนิดเดียวเจ้าเด็กนั่นก็จะทำสำเร็จอยู่แล้ว!
ที่เขาพยายามยับยั้งชั่งใจมาโดยตลอด อดทนอดกลั้นไม่เดินจากไปเสียก่อน ก็เพราะอยากรอดูฉู่เยว่หลอมยาอายุวัฒนะระดับเก้าได้สำเร็จ!
มาตอนนี้โชคดีเสียไม่มี! ดันล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้ายเอาเสียได้!
“คือว่า ฉู่เยว่เอ๊ย…”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ในตอนที่คิดจะออกปากอธิบายสักสองสามประโยค เขาก็เห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นหมุนกายหันมาหาแล้ว
บนดวงหน้าของเขาที่มักจะปรากฏแววอ่อนโยนนุ่มนวลอยู่เสมอ บัดนี้กลับไร้ซึ่งรอยยิ้มอย่างเคย ยิ่งทวีความเย็นชาที่บรรยายออกมาไม่ได้ขึ้นมาหลายส่วน
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขอรับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก
ในใจของผู้อาวุโสฮวาเฟิงพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาตอบรับออกไปโดยไม่รู้ตัว
“อือ”
“เมื่อครู่ท่านพูดว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ฝางโจว? หรงซิว…พวกศิษย์พี่หรงซิวกำลังถูกล้อมโจมตีอย่างนั้นหรือขอรับ?“
“ใช่น่ะสิ! เอ๋? เหตุใดเจ้าถามถึงเรื่องนี้กันเล่า?”
เดิมทีผู้อาวุโสฮวาเฟิงคิดว่าเป็นเพราะนางโมโหที่ยาอายุวัฒนะถูกทำลายไม่มีชิ้นดีจึงอยากจะต่อปากต่อคำกับเขาสักตั้ง คิดไม่ถึงว่านางจะถามคำถามเช่นนี้ออกมาเสียได้ เขาจึงผงกศีรษะตอบรับไปอย่างไม่ได้คิดอันใดมาก
ทว่าหลังจากที่เอ่ยจบ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าการให้ศิษย์สำนักรู้ถึงเรื่องนี้นั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกว่า
“แต่เจ้าวางใจเถอะ นี่พวกข้าเองก็กำลังจะไปที่นั่นกัน ไม่มีปัญหาใหญ่อันใดหรอกหนา”
พูดพลาง เขาก็หันหน้าไปมองทางผู้อาวุโสวั่นเจิงแล้วส่งสายตาเป็นนัยไปให้
ผู้อาวุโสวั่นเจิงลอบถอนใจออกมา
“ฉู่เยว่ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องของด้านนอกปล่อยให้พวกเหวยซือเป็นคนจัดการเอง”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
หากว่าสถานการณ์มันแก้ไขได้ง่ายดายปานนั้น ตอนที่ผู้อาวุโสฮวาเฟิงมาถึงนี่ก็คงไม่กระวนกระวายใจหนักถึงเพียงนี้ อีกทั้งคงไม่พูดอันใดแบบนั้นออกมาเป็นแน่
เรื่องเหล่านั้นที่พวกเขาเอ่ยออกมาคงไม่พ้นเพื่อปลอบใจนางก็เท่านั้น
ทว่านางมิได้เผยความคิดของตนออกมา ทว่ากลับแสร้งว่าเชื่อในคำพูดนั้นแล้วเพียงเท่านั้นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“เช่นนั้นก็ดีแล้วขอรับ ศิษย์ยังคิดอยู่เลยว่า…จริงๆ แล้วเมื่อครู่ที่ท่านอาจารย์คิดจะจากไป เป็นเพราะว่าข้าทำผิดพลาดในการหลอมยาเสียอีก”
นางเหลือบมองไปยังผู้อาวุโสวั่นเจิง
“ท่านอาจารย์ขอรับ ท่านเองก็รีบไปดูสถานการณ์กับผู้อาวุโสฮวาเฟิงเถิด!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพ่นลมหายใจออกมาอีกครา
ณ เมืองฝางโจว
บนกลางอากาศ บรรดากองกำลังต่างก็ยืนคุมเชิง ไม่ยอมอ่อนข้อลงให้กันและกันเลยแม้แต่น้อย
หรงซิวยืนอยู่ตรงกลาง รอบข้างกายเขาคือคนของสำนักปีกสุวรรณที่กำลังยืนล้อมรอบเขาเอาไว้อยู่
ส่วนด้านนอกอีกที่หนึ่งนั้นตามด้วยพวกผู้อาวุโสซูเฟิง และยังมีคนของสำนักหลิงเซียวที่ทยอยพากันมาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งในตอนนี้เอง จำนวนคนก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเมืองฝางโจวที่อยู่ด้านล่าง ฝูงชนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนพากันแหงนหน้าขึ้นมอง ในใจต่างก็สั่นผวากันถ้วนทั่ว
ใครจะไปคิดกันเล่า ว่าจะได้เห็นภาพเช่นนี้จากเมืองฝางโจวที่อยู่รอบนอกของสำนักหลิงเซียว!?
บรรดาผู้คนที่ลอยอยู่กลางอากาศเหล่านั้น ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งจากตระกูลระดับแนวหน้าของอาณาจักรเสิ่นซวี่ด้วยกันทั้งสิ้น!
อีกทั้งในตอนนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายที่พวกเขาเล็งกันอยู่นั้นก็คือหรงซิว!
ดวงหน้าของพวกผู้อาวุโสซูเฟิงล้วนดูไม่ได้กันเป็นอย่างมาก เพราะหากยึดตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้า ขอเพียงปลดค่ายกลออก พวกเขาก็จะสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นมาและกลับไปยังสำนักได้โดยทันที คาดไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะทำตัวเหมือนหนอนไชกระดูกก็มิปาน ยังจะคิดตามมาอีก!
นั่นทำให้อารมณ์ของพวกจินเหลยย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า
เดิมพวกเขาคิดที่จะรีบมาเมืองฝางโจวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยหาทางขโมยเอาของกลับไป
ใครจะรู้ได้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของหรงซิวแข็งแกร่งยิ่งนัก สถานการณ์ก็เลยยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้!
คนจากสำนักหลิงเซียวพากันมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่!
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สถานการณ์ของพวกเขาก็มีแต่จะย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม!
ต้องรีบจบการต่อสู้ให้ได้เร็วที่สุด!
ทว่าทั้งสองฝั่งต่างก็กริ่งเกรงกันอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ
ในที่สุด จินเหลยก็เงื้อขวานในมือขึ้น ก่อนจะทะยานออกไปพร้อมเสียงอัสนีคำราม! พุ่งตรงไปยังด้านของหรงซิว!
“ทุกคนบุกเข้าพร้อมกัน! จัดการมันซะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...