ฉู่เซียนหมิ่นต้องกลับมาแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนี้นางทนทุกข์ทรมานจึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
เมื่อรัชทายาทและลู่เหยาเกิดเรื่องขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าฉู่เซียนหมิ่นจะกลับมาด้วยความรู้สึกเช่นไร
“หมินหมิ่น ทำไมเจ้าไม่เห็นชวนพวกเราไปงานแต่งเลยเล่า พวกข้าอุตส่าห์รอส่งตัวเจ้าสาว บรรยากาศจะได้คึกคักๆ ยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากบริเวณหัวมุม
ฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี๋สบตากันแล้วเดินเข้าไปดู ผู้ที่พูดประโยคนั้นคือลู่เฟยเยี่ยนจริงดั่งคาด
ซึ่งตอนนี้นางพาเพื่อนฝูงแม่นางทั้งหลายเข้ามาล้อมรอบคนคนหนึ่ง
หญิงสาวผู้นั้นสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ดูเงาร่างแล้วน่าจะเป็นฉู่เซียนหมิ่น
“จริงด้วย! ข้าไม่เห็นได้รับจดหมายเชิญของเจ้าเลย ขนาดวันเวลายังไม่ทราบแน่ชัด ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก พวกข้าก็พร้อมลาหยุดเพื่อไปร่วมงานเจ้าแน่นอน!”
“พวกเราล้วนเป็นสหายสนิทกัน ทำไมเจ้าต้องปิดบังพวกข้าด้วยเล่า”
อันที่จริงลู่เฟยเยี่ยนโกรธในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกนางหวังจะได้เจอหน้าองค์ชายรัชทายาทในงานวันนั้นสักหน่อย แต่ฉู่เซียนหมิ่นกลับไม่ได้ชวนพวกนางไปด้วย
หากไม่มีจดหมายเชิญก็ทำสิ่งใดไม่ได้
เมื่อโอกาสอันใหญ่หลวงหลุดมือไป ลู่เฟยเยี่ยนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าฉู่เซียนหมิ่นจงใจเพราะอยากครอบครององค์ชายรัชทายาทไว้เพียงผู้เดียวหรือไม่
แม้เวลานี้ใบหน้าของนางยังคงเปื้อนรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับฉายแววไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ด้วยเวลากระชั้นชิด ทั้งยังมีเรื่องมากมายที่จัดการไม่ทัน ดังนั้น…ก็เลยลืมพวกเจ้าไป…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
ฉู่เซียนหมิ่นกัดฟันพูด
นางรู้ทันความคิดของพวกนางดี
อยากจะหัวเราะสมน้ำหน้านางมากซินะ แต่ไม่มีโอกาสนั้นหรอก!
ฉู่เฟยเยี่ยนจงใจอย่างขบขันขำ
“รัชทายาททรงโปรดเจ้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ยังทรงอนุญาตให้เจ้าได้กลับมาเรียนที่สำนักอีก หมินหมิ่น เจ้าอยู่ในจวนรัชทายาทคงสุขสบายดีกระมัง”
ฉู่เซียนหมิ่นกล้ำกลืนฝืนตอบออกไป
“ข้าไม่ได้มาหลายวัน มีธุระต้องไปหาอาจารย์ เอาไว้ค่อยคุยกับพวกเจ้าวันหลัง”
เมื่อพูดจบนางก็เดินผ่านคนเหล่านั้นไป
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็บังเอิญเห็นคนที่เป็นดั่งหนามยอกอก!
ฉู่หลิวเยว่!
ไฟที่สุมอยู่ในทรวงของฉู่เซียนหมิ่นปะทุขึ้นมา นางก็จิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือลึกจนเป็นรอย
หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่คงได้แหลกเป็นจุณแน่!
มู่หงอวี๋จ้องนางด้วยสายตาเป็นการเตือนกลายๆ
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
แต่ฉู่เซียนหมิ่นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางก้าวขาแล้วเดินผ่านฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี๋ไป
“แปลกยิ่ง หากเป็นเช่นก่อนนางคงไม่ยอมรามือเป็นแน่ พอแต่งเข้าจวนรัชทายาทแล้วทำไมนิสัยถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้”
มู่หงอวี๋บ่นพึมพำ
ฉู่หลิวเยว่มองเงาหลังของฉู่เซียนหมิ่นที่เดินลับไปด้วยความคิดสะกิดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ภายภาคหน้ายังมีอะไรสนุกๆ รออยู่ เราไปกันเถิด”
…
ดูเหมือนบรรยากาศภายในเมืองหลวงจะกลับมาสุขสงบดั่งเคย แต่ทว่ากลับมีคนสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์รัชทายาทเสียแล้ว
จุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือฎีกาต่างๆ ที่เคยส่งไปยังจวนรัชทายาท บัดนี้ได้ถูกตีกลับมาที่พระราชวังทั้งหมด
แม้จยาเหวินตี้จะเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลออกไปว่าตอนนี้รัชทายาทกำลังอยู่ในช่วงบรรลุระดับยุทธ์จึงไม่อยากให้เขามีเรื่องฟุ้งซ่านได้
ทว่าความเป็นจริงนั้น ทุกคนต่างรู้อยู่เต็มอกว่าองค์ชายรัชทายาทถูกริบอำนาจ
ทั้งระยะนี้รัชทายาทเอาแต่เก็บตัวและปฏิเสธทุกคำเชิญ ชัดเจนยิ่งว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน
แต่ภายในวังกลับปิดข่าวได้อย่างเงียบสนิทจึงไม่มีใครสามารถสืบสาวราวเรื่องจากในรั้วในวังได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแอบคาดเดาในใจและตัดสินใจรอดูสถานการณ์เงียบๆ ไปก่อน
อีกประการหนึ่ง ใครหลายคนเริ่มมีการเคลื่อนไหวโยกย้ายเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จึงแอบเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ
…
“พี่สาม เสด็จพ่อทรงคิดกระทำการสิ่งใดกันแน่ รัชทายาทส่งคนมาลอบสังหารพี่ หลักฐานก็แน่นหนาขนาดนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงลงโทษเพียงแค่ให้รัชทายาททบทวนตัวเองในจวนล่ะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เขาเป็นรัชทายาทที่อำนาจล้นมือ แต่เกิดเรื่องถึงขนาดนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้มิใช่หรือ”
หรงเฟิงขมวดคิ้วไม่พอใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
หลังจากได้รับของกำนัลชิ้นใหญ่จากน้องเจ็ด เขากับหรงจิ่วก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที
ในวันต่อๆ มา พวกเขาก็ร่วมมือกันหาพยานหลักฐาน โดยหรงจิ่วเป็นผู้รวบรวมทุกสิ่งพร้อมทั้งถวายให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์