ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 130

เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ ทุกคนต่างก็ได้พักผ่อนอย่างสงบสักที

มู่หงอวี๋ไปก่อไฟและพวกเขานั่งรอบกองไฟเพื่อรออาจารย์มาถึง

บริเวณใกล้เคียงนั้นฉู่หลิวเยว่ค้นพบสมุนไพรบางชนิด จึงนำมาช่วยเลี่ยวจงซู แต่ก็เพียงพันผ้าพันแผลเพื่อหยุดเลือดชั่วคราวเท่านั้น

คนอื่นต่างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน นางแจกจ่ายสมุนไพรและปล่อยให้พวกเขาจัดการตนเอง

ตลอดจนสุดท้าย นางใช้ยาที่เหลือกับแขนของนาง ความเจ็บปวดที่เพิ่งบรรเทาลงถูกกระตุ้นโดยคุณสมบัติของยา จนทำให้นางขมวดคิ้ว

มีคนเดินเข้ามา ฉู่หลิวเยว่จึงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเขาคนนั้นคือกู้หมิงเฟิง

“เมื่อครู่นี้…ข้าขอบใจเจ้ามาก”

เปลวไฟอันโชติช่วงสะท้อนบนใบหน้าของกู้หมิงเฟิงทำให้เห็นสีหน้าของเขาฉายชัดมากขึ้น

ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า

“ไม่ต้องขอบใจหรอก ราชาหมาป่าตัวนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าเจ้าหรือข้าต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ตัวต่อตัวของมัน ต้องร่วมมือกันถึงจะเอาชนะมันได้ พวกเรายังโชคดี”

กู้หมิงเฟิงจ้องนาง แต่มีความคิดมากมายพรั่งพรูในหัวใจของเขา

แม้ฉู่หลิวเยว่จะพูดสบายๆ แต่ในการต่อสู้กับความเป็นความตายเมื่อครู่นี้ ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจจะนำไปสู่ความตายได้

แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับต่อสู้อย่างไม่ลังเลสักนิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…เมื่อเขาคิดว่าเขากำลังจะตายคมเขี้ยวของราชาหมาป่า ถ้าฉู่หลิวเยว่มาช่วยไม่ทัน เขาก็คงอาการแย่กว่าเลี่ยวจงซูเป็นแน่

นางได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

แต่ดูเหมือนนางไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

ในโลกนี้มีคนเสียสละอย่างนั้นจริงหรือ? !

ฉู่หลิวเยว่สังเกตว่ากู้หมิงเฟิงยังอยู่ที่เดิม ดังนั้นนางจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง แล้วก็เห็นแววตาวูบไหวของเขาพอดี

กู้หมิงเฟิงคิ้วกระตุกและละสายตาไปทันที

ฉู่หลิวเยว่แอบหัวเราะในใจ

ในอดีตชาตินางเคยเห็นผู้ที่มีความคิดคมในฝักมามาก นางจึงรู้ทันความคิดของกู้หมิงเฟิง

บางทีอาจเป็นเพราะภูมิหลังของเขา จึงทำให้เขามีอารมณ์ความรู้สึกที่มืดมนอ่อนไหว และไม่ไว้ใจใครตามสัญชาตญาณ

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ฉู่หลิวเยว่เชื่อว่ากู้หมิงเฟิงไม่เคยสนใจชีวิตของคนอื่นหรอก

เหตุผลสำคัญที่เขาดิ้นรนต่อสู้กับราชาหมาป่าก็คือเขาแค่ต้องการเอาชีวิตตัวเองให้รอด

“ข้าก็แค่ช่วยเจ้าไปตามสถานการณ์ เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ สถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าเป็นผู้ใด ข้าย่อมช่วยทั้งนั้น”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

กู้หมิงเฟิงรู้สึกตกใจ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าฉู่หลิวเยว่รู้ทันความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

เขาขมวดคิ้วมุ่นและรู้สึกอึดอีด เขาจึงหันหลังจากไป

แต่พอเดินได้เพียงก้าวเดียว เขาก็หยุดฝีเท้า

“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็ถือว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า”

พูดเสร็จก็เดินไปนั่งไกลๆ จากนั้นเขาก็หลับตาแล้วปรับลมหายใจ

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาอย่างครุ่นคิด และรู้สึกดีขึ้นกับทัศนคติของเขาขึ้นมาเล็กน้อย

กู้หมิงเฟิงผู้นี้นิสัยดีกว่ากู้หมิงจูน้องสาวต่างมารดาของเขามาก

หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วยาม อาจารย์เหวินเยี่ยนซึ่งเป็นอาจารย์ผู้นำกลุ่มก็มาถึงในที่สุด

เขาดูเต็มไปด้วยฝุ่น มีคราบเลือดประปรายบนร่างของเขา ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้

เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่และคนอื่นมีสภาพสะบักสะบอม เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและถามว่า

มุมปากซีดเซียวของเลี่ยวจงซูไม่มีแรงขยับยิ้ม

“อาจารย์เหวินเยี่ยนมิต้องเป็นห่วง ศิษย์ทราบดีว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าขอรับ”

“เจ้าคิดเช่นนี้ได้ก็ดี รอรักษาจนหายดีมักมีโอกาสเสมอ แต่การดันทุรังต่อไปมันไม่คุ้มเลยสักนิด”

เหวินเยี่ยนรู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็มองไปที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าสี่คนล่ะ”

เฉินหู่พูดเสียงห้าว

“ไปต่อแน่นอน!”

ถอนตัวแบบนี้คงน่าอับอายเกินไปแล้ว!

เลี่ยวจงซูเกือบตายเพียงเพื่อช่วยพวกเขาต้านหมาป่า ถ้าพวกเขายังถอยด้วยกันแล้วจะมีความหมายอะไร

“เจ้าแน่ใจหรือ” อาจารย์เหวินเยี่ยนถอนหายใจ “คราวนี้ที่บรรพตวั่นหลิงช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก สัตว์อสูรบางประเภทที่อาศัยอยู่แค่ข้างในเท่านั้นกลับออกอาละวาดข้างนอก ทั้งยังจู่โจมแข็งแกร่งมาก เมื่อครู่นี้ข้าติดต่ออาจารย์ท่านอื่นแล้ว มีหลายกลุ่มที่เผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกัน หากยิ่งถลำลึก ก็จะยิ่งอันตราย”

เฉินหู่อึ้งพร้อมกับเกาศีรษะ จากนั้นก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่โดยไม่รู้ตัว

มู่หงอวี๋และกู้หมิงเฟิงก็หันไปมองพร้อมกัน

“…หลิวเยว่ เจ้าว่าอย่างไร”

มู่หงอวี๋ถาม

หัวหน้ากลุ่มของพวกเขามิใช่มู่หงอวี๋หรอกหรือ

แต่ทำไมตอนนี้ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะกลายเป็นเสาหลักของกลุ่มเลยล่ะ

ฉู่หลิวเยว่ไตร่ตรองครู่หนึ่ง แล้วกวดสายตามองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ข้าเลือก…ไปต่อ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์