หนึ่งคืนผ่านไป
แสงแดดยามเช้าส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาหลบแสงอัสดงที่ส่องเข้ามา แล้วเอนกายไปด้านหลังอย่างเหนื่อยล้า
“เหอะ… พี่เป่านี่ใจแข็งจริงๆ…”
ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่มีโครงสร้างยุ่งยากที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาเลย และยากกว่าค่ายกลอันก่อนที่ตู๋กูโม่เป่าเคยทิ้งไว้ให้นางตั้งหลายเท่า
จนถึงตอนนี้นางก็ยังแก้ค่ายกลอันก่อนไม่ได้ แล้วนับประสาอันใดกับค่ายกลอันนี้
ฉู่หลิวเยว่ขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด
นางใช้เวลาศึกษามันทั้งคืน แต่กลับไม่คืบหน้าเลยสักนิด
และแอบคิดแล้วว่าวันนี้นางคงออกไปไม่ได้แน่ๆ
แต่จู่ๆ กลับเกิดคลื่นความผันผวนขึ้นในจุดตันเถียน
ฉู่หลิวเยว่นึกคิดอยากปลุกถวนจื่อเสียให้รู้แล้วรู้รอด
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เองก็มาจากมัน
เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว ทัณฑ์สวรรค์มากมายที่ปรากฏบนร่างของมันลดลงไปมาก คงเป็นเพราะถูกถวนจื่อดูดกลืนไปเสียส่วนใหญ่แล้ว
แต่ตาของมันยังปิดสนิท และไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ
ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ตัวมันอย่างระมัดระวัง
เมื่อวานนี้ถวนจื่อเปียกโชกไปทั้งตัว นางจึงดูไม่ค่อยออกว่ามันเปลี่ยนไปเช่นไร ทว่าตอนนี้นางมองเห็นแล้วว่าสีขนของถวน
จื่อเข้มขึ้นกว่าเดิมมาก
ครั้นมองแวบแรก จักดูเหมือนเปลวเพลิงสีชาดที่กำลังลุกไหม้ด้วยความร้อนแรง
ฉู่หลิวเยว่จำได้ว่าครั้งก่อนที่มันแช่ตัวอยู่ในตาน้ำพุแค่เพียงช่วงสั้นๆ มันยังหลับไปนานพักใหญ่ และคราวนี้นางไม่รู้เลยว่ามันตื่นขึ้นมาเมื่อใด
แต่เมื่อตื่นขึ้นครานี้ มันก็น่าจะ… ใช้งานพลังแห่งสายเลือดได้อย่างเต็มที่แล้วกระมัง?
เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็พลอยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
“ฉู่เยว่! ฉู่เยว่?”
เสียงของหลัวซือซือดังขึ้นจากด้านนอก
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจแล้วผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนจะจัดแจงภาพลักษณ์ของตนแล้วเดินออกไปข้างนอก
นางเห็นร่างเงาของหลัวซือซือที่ยืนเคว้งอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
“ฉู่เยว่ พวกเราต้องไปกันแล้ว ยามนี้ผู้คนมากมายล้วนไปรวมตัวกันที่จัตุรัสชิงหมิงแล้ว”
หลัวซือซือกล่าว พลางโบกมือเรียกฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และหยุดยืนอยู่ในระยะที่ปลอดภัย
“ซือซือ เจ้าช่วยลาท่านผู้อาวุโสให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เกรงว่าจะร่วมเดินทางไปกับเจ้าไม่ได้”
หลัวซือซือผงะระคนตกใจ
“เจ้าป่วยหรือ? แล้วร้ายแรงหรือไม่? ให้ข้าตามผู้อาวุโสมาดูอาการเจ้าดีหรือไม่!”
ฉู่หลิวเยว่รีบเอ่ยแทรกทันควัน
“ไม่เป็นไร ก็แค่โรคประจำตัว ข้าทานยาไปแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็ดีขึ้น หากแต่สภาพเช่นนี้… คงไปบุกน้ำลุยไฟกับพวกเจ้าที่บุพกาลชายแดนเหนือไม่ได้ ข้าต้องขอโทษจริงๆ”
เมื่อหลัวซือซือเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของฉู่หลิวเยว่ ในใจก็พลันเป็นกังวลยิ่ง แต่พอเห็นเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของอีกฝ่าย นางจึงเข้าใจและตอบรับคำขอของเขาแต่โดยดี
“เช่นนั้นข้าจะแจ้งผู้อาวุโสให้ เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย หากทนไม่ไหว เจ้าต้องไปหาผู้อาวุโส”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบใจเจ้ามาก”
เมื่อรู้สึกเหนื่อย บางครั้งนางก็เปลี่ยนไปอ่านตำราปรมาจารย์โอสถเล่มนั้น ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงทิ้งไว้ให้
สามวันต่อมา ราวกับกลัวว่านางจะเบื่อ จู่ๆ ตู๋กูโม่เป่าก็ส่งหุ่นเชิดตัวหนึ่งมาอยู่ “เป็นเพื่อน” นาง
คือ ระดับเก้าขั้นต้น
…
แต่พอเห็นว่าสุดท้ายแล้วฉู่หลิวเยว่สามารถประมือกับหุ่นเชิดตัวนี้ ตู๋กูโม่เป่าก็ส่งมาเพิ่มอีกตัว
ภายในห้องนั้น ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิ มือข้างหนึ่งกอดอกไว้ พลางยกมืออีกข้างขึ้นลูบปลายคางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นางมองไปยังค่ายกลบนพื้นและหุ่นเชิดสองตัวที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาของตน ที่พร้อมจะเข้ามาต่อสู้กับนางได้ตลอดเวลา แล้วจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด
…ในอดีตนางเคยทำให้พี่เป่าโกรธเคืองเช่นนี้หรือไม่นะ?
ห้าวันต่อมา
ฉู่หลิวเยว่ขจัดข้อสงสัยนี้ออกไป
เพราะถึงแม้นางจะแก้ค่ายกลที่พี่เป่าใช้ขังนางไม่ได้ แต่ระหว่างที่นางศึกษามัน นางก็แก้โครงสร้างของค่ายกลอันก่อนได้สำเร็จ
เหนือปรมาจารย์ระดับเก้า ก็คือปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชา!
นางแอบสังหรณ์บางอย่างในใจ
ไม่แน่ว่าบางที ก่อนที่นางจะทะลวงขึ้นสู่ปรมาจารย์โอสถกับผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพได้ นางอาจจะต้องทะลวงไปสู่ระดับที่สูงกว่าปรมาจารย์ทั่วไปให้ได้เสียก่อน!
ในยามนี้ถวนจื่อยังคงหลับสนิท ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ชัดเจนว่าตอนนี้ในตัวของมัน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงอันเงียบสงัด ราวกับฝนตกในฤดูใบไม้ผลิที่จู่ๆ ก็ตกลงมาท่ามกลางความเงียบ
แต่ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าวันใดวันหนึ่ง เจ้าสิ่งนี้จะทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงพึงเพลิดแน่นอน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...