แม้ว่าน้ำเสียงจะแหลมสูง แต่ฉู่หลิวเยว่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
กู้หมิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กระนั้นเขากลับมิได้พูดสิ่งใดออกมา
“ทำไม…เสียงนี้มันคุ้นหูจังเลย”
มู่หงอวี๋อยากจะมองย้อนกลับไป แต่ถูกฉู่หลิวเยว่ดึงแขนไว้เสียก่อน
“ไปกันเถอะ! มิฉะนั้น เราจะเป็นฝ่ายที่ต้องตะโกนร้องขอชีวิตเสียเอง!”
มู่หงอวี๋ตกใจและรีบวิ่งตามไปทันที
พวกเขาวิ่งกลับไปทางเดิมที่มาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเสียงกรีดร้องนั้นยังไม่หยุดและยังใกล้เข้ามาอีกด้วย!
“ช่วยด้วย!”
เสียงกรีดร้องมาพร้อมกับเสียงจังหวะย่างก้าวสะเปะสะปะ
เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
…
เดิมทีกู้หมิงจูคิดว่าคราวนี้คงจะได้ล่าสัตว์อสูรที่น่าพอใจในบรรพตวั่นหลิง
ก่อนหน้านี้ทางตระกูลเคยเสนอช่วยนางเลือกให้ ทว่านางหยิ่งทะนง ไม่ยอมให้ใครมาช่วยนาง นางจึงต้องออกล่าด้วยตนเอง
ดังนั้นนางจึงตั้งตารอฤดูล่าสัตว์อสูรนี้มาเนิ่นนานแล้ว
แต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ นางกำลังตกอยู่ในอันตราย หลังจากเข้ามาในบรรพตวั่นหลิง เพียงแค่วันเดียว!
นางวิ่งไปข้างหน้าด้วยความอกสั่นขวัญแขวน หัวใจของนางเต้นระส่ำจนแทบหลุดออกจากอก!
อันที่จริงพลังของนางได้หมดลไปงแล้ว แต่นางไม่กล้าที่จะหยุดวิ่งแม้แต่ก้าวเดียว ฉะนั้นนางจึงทำได้เพียงวิ่งหนีไปข้างหน้าเท่านั้น
นางไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับมามอง
นางเห็นว่าดูเหมือนจะมีเงาร่างอันเรือนลางตามหลังมาอยู่ไม่ไกล
แม้ว่านางจะมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขาไม่ชัดเจน แต่เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเป็นเครื่องแบบของสำนักเทียนลู่
นางรู้สึกดีใจมากและรีบไปขอความช่วยเหลือ
แต่หลังจากได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากนาง พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่ได้มาทางนี้แล้วเริ่มวิ่งหนีแตกกระจาย
กู้หมิงจูกระวนกระวายทันทีและใช้แรงเฮือกสุดท้ายของนางวิ่งไล่ตามพวกเขาไป
“ช่วยด้วย! ข้าก็เป็นศิษย์สำนักเทียนลู่เช่นพวกเจ้า พวกเจ้าโปรดช่วยข้าด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้อีกครั้ง ในที่สุดเฉินหู่ก็อดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป
แต่เมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็เบิกตาโตทันที
“กู้หมิงจู!”
เฉินหู่รู้จักกู้หมิงจู แต่ทว่ากู้หมิงจูกลับไม่รู้จักเฉินหู่
ถึงอย่างไรนางก็ดูถูกผู้ฝึกยุทธ์มาโดยตลอด ดังนั้นยกเว้นคนดัง นางไม่แม้แต่จะชายตามองใครด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินว่าเฉินหู่จำนางได้ นางรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที
“ข้าคือกู้หมิงจู! หากพวกเจ้าช่วยข้า กลับไปแล้วข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!”
ฉู่หลิวเยว่หยุดกะทันหันและมองข้างหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่น
มู่หงอวี๋และคนอื่นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงหยุดวิ่งตาม
คราวนี้กู้หมิงจูถึงได้มองพวกเขาอย่างถี่ถ้วน นอกจากเฉินหู่แล้ว คนอื่นๆ ต่างก็วิ่งหันหลังให้นางกันหมด
แต่ทว่าแผ่นหลังนี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก…
นางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งขมวดคิ้วมุ่นและถามด้วยความสงสัย
“กู้หมิงเฟิง?”
กู้หมิงเฟิงหันหน้ากลับมามองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
กู้หมิงจูแสดงสีหน้ารังเกียจ
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย วันนี้ข้าช่างโชคร้ายจริงๆ ที่ได้มาเจอเจ้า!”
กิริยาวาจาของนางทำเหมือนไม่เห็นกู้หมิงเฟิงไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันเลยสักนิด ทั้งยังทำเหมือนเป็นสิ่งสกปรกน่าขยะแขยง
ดวงตาของกู้หมิงเฟิงฉายแววเย็นยะเยือก
“หลิวเยว่ มีปัญหาอะไรหรือ”
มู่หงอวี๋กระซิบถาม
เมื่อได้ยินชื่อนี้ กู้หมิงจูก็ตกใจเบิกตาโต
ช้าก่อน!
มิน่าล่ะ นางถึงได้คุ้นตากับแผ่นหลังนี้ ที่แท้ก็คือฉู่หลิวเยว่เองหรือ
สีหน้าของนางพลันบึ้งตึง
“เจอกู้หมิงเฟิงคนเดียวก็น่ารังเกียจแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะมีอีกคน!”
เฉินหู่ตะโกนเสียงดัง
“เจ้าหัดพูดอะไรเกรงใจหน่อย!”
กู้หมิงจูตกใจกับเสียงตะคอกราวกับฟ้าผ่าของเฉินหู่ ในใจกลับยิ่งทวีคูณความเกลียดชัง ผู้ฝึกยุทธ์ก็คือพวกกักขฬะหยาบคาย!
คนประเภทนี้เมื่อรวมตัวกันมีแต่น่ารำคาญและยิ่งน่ารำคาญเข้าไปอีก!
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมามองกู้หมิงจูด้วยสายตาเย็นเฉียบ
“พวกข้าต่างหากที่ดันโชคร้ายมาเจอเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่มองกู้หมิงจูจนสั่นสะท้าน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร! ข้าเพิ่งขอความช่วยเหลือ พวกเจ้าได้ยินชัดเต็มสองหู แค่กลับแสร้งไม่ได้ยิน พวกเจ้า…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์