เมืองฝางโจวนั้นตั้งอยู่ข้างสำนักหลิงเซียว เป็นแหล่งรวมเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากเข้าสำนักหลิงเซียวจากทั่วทุกสารทิศในใต้หล้า
หากมองผ่านสายตาผู้คน เมืองฝางโจวก็คือจุดส่งมอบของที่จะขนเข้าสำนักหลิงเซียว
ทว่าในความเป็นจริง มันเป็นอันใดที่มากกว่านั้น
เพราะไม่ได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จใดมาคอยควบคุม กลางเมืองฝางโจวจึงรวมเอาคนทุกรูปแบบเอาไว้ในที่เดียว เรียกได้ว่าปลากับมังกรอยู่ร่วมกันให้ควั่ก
เพียงเพราะเกรงกลัวในสำนักหลิงเซียว ยามผู้คนอยู่ในเมืองจึงค่อนข้างสุภาพ ตรงไปตรงมาซึ่งกันและกันทั้งสิ้น
แต่หากเจ้าอยู่ในฝางโจวมานานมากพอจนเข้าใจพวกเขาได้อย่างลึกซึ้งก็จะพบว่า ความน่าตื่นตาตื่นใจของที่แห่งนี้นั้นเหนือกว่าจินตนาการไม่รู้ตั้งเท่าใด
ต่อให้เป็นมุมมองของศิษย์จากสำนักหลิงเซียว ฝางโจวเองก็เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างน่าดึงดูดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ปกติจึงมีศิษย์บางส่วนที่มักเข้าเมืองมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ
บ้างก็มาจับจ่ายใช้สอย บ้างก็หาคนมาแลกเปลี่ยนวิชา หรือไม่ก็ทำเรื่องอื่นตามที่ใจต้องการ
ด้วยอิสระที่มากล้น ทั้งผู้อาวุโสที่คอยดูแลสำนักและบรรดาศิษย์อีกจำนวนมากต่างก็ชอบไปเมืองฝางโจวกัน
ฉู่หลิวเยว่เดิมทีคิดอยากปฏิเสธ ทว่าเห็นคนทั้งสองต่างเชื้อเชิญกันอย่างอบอุ่นแล้วก็กลั้นใจปฏิเสธไม่ลง จึงผงกศีรษะรับไป
“ได้สิ”
ระยะนี้เจอเรื่องอันใดมาเยอะนัก นางเองก็อยากไปผ่อนคลายอารมณ์ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างพอดี
หลังพูดคุยตกลงกันเรียบร้อย คนทั้งสามก็ออกเดินทางทันที แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกล
…
ระหว่างทาง ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มุ่งหน้าตรงไปในทิศทางเดียวกับพวกตน
มองออกทนโท่เลยว่ากำลังจะออกไปข้างนอกเช่นกัน
ชัดเจนเลยว่าระยะเวลาสามวันนี้มีค่าต่อบรรดาศิษย์มากเพียงใด
ยามอยู่ในสำนัก คนจำนวนมากล้วนอยู่ใต้สภาวะตึงเครียดมาโดยตลอด นานเข้าก็ยากจะหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าได้
ได้มีเวลาออกไปผ่อนคลายข้างนอกถึงสามวัน ทุกคนย่อมรู้สึกเบิกบานใจกันอย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงทางออกของสำนัก ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองก็พบว่ามีผู้อาวุโสสองท่านคอยเฝ้าดูอยู่ด้วยกัน
ส่วนศิษย์ที่อยากจะออกไปข้างนอกต่างก็เข้าแถวกันเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
พวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสามคนต่างก็ไปยืนต่ออยู่ที่ปลายแถวอย่างเชื่อฟังเช่นกัน
โชคดีที่ผู้อาวุโสจัดแจงทำงานรวดเร็ว ศิษย์เพียงแค่นำตราหยกดำของตนออกมาวางไว้บนค่ายกล ผู้อาวุโสก็จะตอบรับอย่างเร็วรี่ แล้วเปิดค่ายกลปล่อยให้ออกไปได้
ในไม่ช้า ก็ถึงทีของพวกฉู่หลิวเยว่ทั้งสาม
หลัวเยี่ยนหมิงและจัวเซิงต่างก็ผ่านออกไปทีละคนได้อย่างราบรื่น ในที่สุดก็ถึงตาฉู่หลิวเยว่เสียที
“ฉู่เยว่หรือ?”
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านเงยศีรษะขึ้นมามอง ก่อนจำได้ว่าเป็นฉู่เยว่ในทันที จากนั้นพวกเขาพลันระมัดระวังขึ้นมาในทันใด คนทั้งสองรุดก้าวไปด้านหน้า พร้อมใจกันขวางทางฉู่หลิวเยว่เอาไว้
“เจ้าคิดจะทำอันใด!?”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกอับอายขึ้นมาอยู่บ้าง จึงรีบหยิบเอาตราหยกดำของตนออกมาเร็วไว
“ผู้อาวุโสทั้งสองโปรดอย่าเข้าใจผิด ครานี้ศิษย์เพียงอยากออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำเรื่องอื่นใดเลยขอรับ”
พูดพลาง มือก็ยื่นส่งตราหยกดำของตนไปให้
ผู้อาวุโสทั้งสองสบตากันและกันด้วยท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
หนึ่งในสองคนนั้นรับของมา ก่อนจะวางมันลงไปบนค่ายกล
แสงสว่างเรืองรองสายหนึ่งส่องประกายออกมาจากค่ายกล ก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสทั้งสองจึงได้วางใจไปเปราะหนึ่ง ก่อนจะหันมากวาดตามองฉู่หลิวเยว่อีกหลายรอบถึงจะปล่อยให้ออกไปได้
“ไปกันเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่จึงได้ข้ามค่ายกลออกมาไปรวมตัวกับสองคนที่รออยู่ด้านหน้าก่อนแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉู่เยว่ ตอนนี้พวกผู้อาวุโสต่างก็กลัวเจ้ากันหมดเลย!”
จัวเซิงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย
“ก็ก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่ก่อเรื่องนี่นา! ตอนนี้รู้ซึ้งถึงความร้ายแรงแล้วกระมัง! เกือบออกจากประตูสำนักไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ!”
ฉู่หลิวเยว่นวดสันจมูกของตนไปมา
“ความจริงแล้วของที่วางขายอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่ของดาษดื่นธรรมดาทั่วไปในฝางโจวเท่านั้น หากอยากจะซื้อของดีจริงๆ พวกเราต้องไปที่ถนนอีกสาย!”
จัวเซิงบุ้ยคาง
“ไปกันหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่มองดูสีหน้าคาดหวังของเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้พลางเอ่ยว่า
ดูจะคุ้นเคยกับที่นี่ดีจังเล่า? เจ้าเคยมาอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เคย! แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าไปสอบถามพวกศิษย์พี่มาแล้วไม่น้อย ดังนั้นจะมากจะน้อยก็ต้องพอรู้อยู่บ้าง หากออกมาแบบพวกเจ้าทั้งคู่ ไม่รู้อะไรมาก่อนแล้วออกมาเที่ยวเล่นน่ะ แบบนั้นก็ได้พลาดของดีไปไม่น้อยกันพอดีไม่ใช่หรือไร?”
จัวเซิงเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความพออกพอใจ
“ไปกันเถอะ! วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าเดินเล่นในฝางโจวให้หนำใจไปเลย!”
ฝั่งฉู่หลิวเยว่ทั้งสองหัวเราะออกมาด้วยรู้ว่าเขาออกจากสำนักมาก็เพื่อเริ่มเล่นสนุกพลางสาวเท้าเดินตามเขาไปอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย
“เอาซี หากไปถึงฝั่งโน้นแล้วไม่มีของสิ่งใดต้องตาละก็ เจ้าต้องเลี้ยงข้าวพวกข้า”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยท้าพนัน
“ไม่มีทาง ฮ่าฮ่า! ไม่มีปัญหา!”
จัวเซิงตอบรับเต็มปากด้วยอารมณ์คึกคักยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ที่เดินคล้อยตามหลังมาก็ส่ายศีรษะพลางหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น สายตาของนางพลันแข็งทื่อ สองเท้าติดตรึงอยู่ที่เดิม สายตาจดจ้องเขม็งไปยังของสิ่งหนึ่งที่อยู่บนแผงร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
“เอ๋? ฉู่เยว่ เจ้าหยุดเดินเสียละ?”
คนทั้งสองที่เดินนำหน้าไปหลายก้าวเพิ่งรู้ตัวว่าฉู่หลิวเยว่มิได้ตามมาด้วย จึงเดินวกกลับมาหานางอีกรอบหนึ่ง
“เจ้ามองอันใดอยู่น่ะ?”
ฉู่หลิวเยว่มิได้เอ่ยตอบออกไป นางเดินตรงเข้าไปหยิบตราไม้อันหนึ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นขึ้นมา
ซึ่งบนตราไม้อันนั้นแกะสลักลายสลักลวดลายที่นางคุ้นเคยเอาไว้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...