ค่ายกลแผ่ขยายกว้าง ตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ
ทว่าที่น่าแปลกก็คือ แสงอาทิตย์กลับยังคงทะลุผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นดูไปแล้วเมื่อเทียบกับภาพทิวทัศน์รอบตัวก่อนหน้า จึงแทบไร้ซึ่งความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อ้อ ไม่สิ จริงๆ แล้วยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง
บริเวณจุดที่ต้นโพธิ์สีทองม่วงปกคลุมไว้ทั่วเองก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ยามปรายตามองไป ทุกหนทุกแห่งล้วนแลดูอบอุ่นประหนึ่งหน้าใบไม้ผลิ เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวายิ่ง
ฉู่หลิวเยว่จึงปล่อยมือ ก่อนจะจับจ้องไปยังเบื้องหน้า
ในแววตาของอินทรีสามตาตัวที่อยู่ด้านหน้าสุดแฝงแววตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมาแผ่วเบา
“จื่อเฉิน ออกมาหาคนในเผ่าของเจ้าสักหน่อยสิ”
…
บนทุ่งหิมะโล่งกว้าง ค่ายกลสีทองม่วงขนาดมหึมาที่กางอยู่ในทุ่งดึงดูดทุกสายตาเป็นพิเศษ
ฝูงชนล้วนแล้วแต่อยากเข้าไปดูว่าข้างในเกิดเรื่องราวอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าส่วนมากกลับบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ
…อินทรีสามตาจำนวนมากมายถึงปานนั้น พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น กระทั่งต้นโพธิ์สีทองม่วงก็ยังคงตั้งตระหง่าน ผู้ใดจะรู้ได้ว่ายังมีอินทรีสามตาตนอื่นอีกหรือไม่?
“ที่แท้ที่นี่ก็คือรังของพวกมันนี่เอง…”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งลอบพึมพำเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“มิน่าเล่า พันปีมานี้อินทรีสามตาถึงไม่ปรากฏตัวเลย ผ่านมาตั้งนาน ที่แท้พวกมันก็อยู่ในบุพกาลชายแดนเหนือกันหมดนี่เอง!”
อีกทั้งยังแอบซ่อนตัวอยู่ในที่นี้ด้วย!
หากมิใช่เพราะครานี้พวกเขาได้เห็นกับตา เกรงว่าก็คงไม่กล้าเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ผู้อาวุโสคิ้วขาวที่ถูกเหวี่ยงออกมา เดินเข้าไปหยุดตรงหน้าชือรุ่ยเออร์ด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น
“คุณหนูรอง ข้าไร้ความสามารถ…”
ชือรุ่ยเออร์กระแอมไอออกมาคราหนึ่ง ทั้งกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง สีหน้ายิ่งทวีความซีดเผือดลง
“… ไม่… ไม่ใช่ความผิดท่าน… ล้วนเป็นข้า… ความผิดข้าเอง…”
หากมิใช่เพราะเพื่อช่วยนาง ฉู่เยว่เองก็คงไม่ต้องไปหลอกล่ออินทรีสามตาพวกนั้น! อีกทั้งคงไม่ถูกขังอยู่ในนั้นด้วย!
เขาเพียงคนเดียวจะไปสู้กับพวกมันทั้งหมดได้อย่างใดกัน?
ผู้อาวุโสคิ้วขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“คุณหนูรอง ความจริงแล้ว… ข้าคิดว่าอินทรีสามตาพวกนั้นดูไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายฉู่เยว่นะขอรับ…”
เริ่มแรกพวกมันพกเอาจิตสังหารที่กักเก็บไว้เต็มเปี่ยมพุ่งตรงเข้าไปหาฉู่เยว่จริง
แต่คล้อยหลังมาก็มิรู้ว่าด้วยเหตุใด ท่าทีของพวกมันถึงได้เปลี่ยนราวกับพลิกฝ่ามือ
เขากำลังหลับตา ลมหายใจอ่อนระโหยโรยแรง ราวกับว่าจะหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ
“มู่ชิงเห่อ”
สุ้มเสียงทุ้มต่ำแกมแหบพร่าดังแว่วมาจากด้านหน้า
เปลือกตาของมู่ชิงเห่อขยับเขยื้อน ก่อนจะลืมขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ยามปรายสายตามองไปยังกระจกทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของเขาพลันปรากฏแววยำเกรงและกระวนกระวาย
เขาหยัดกายลุกขึ้นในทันใด ก่อนจะคุกเข่าลงไปยังทิศทางนั้นอย่างยากลำบาก
“… นายท่านขอรับ…”
“ดูเหมือนว่าระยะนี้ชีวิตเจ้าจะดูไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนะ”
สุ้มเสียงนั้นฟังดูราวกับหยอกล้อ ทว่ากลับทำให้คนฟังรู้สึกสะท้านไปทั่วกาย
“ซั่งกวนเยว่เหมือนจะไม่ติดใจเอาความเจ้านี่นา แล้วเหตุใดเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ หืม?”
มู่ชิงเห่อก้มศีรษะจรดลงพื้น
“… ข้าน้อยไร้ความสามารถ… เกรงว่าคงเหลือเวลาไม่มาก ไม่อาจอยู่รับใช้ท่านได้อีก…”
เสียงนั้นหัวเราะเริงร่า
“หรือเจ้าจะบอกว่าติดตามนางมาตั้งหลายปีขนาดนั้น แต่ไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ให้กันสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ? จริงสิ ตอนนี้นางเองก็อยู่ที่บุพกาลชายแดนเหนือนี่พอดี ข้าควรให้พวกเจ้า… ได้พบปะกันสักรอบดีหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...