เจดีย์ชั้นบนสุด หลังจากที่เมิ้งเหล่าได้ยินคำถามนี้ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเช้านี้ใส่ยาให้มันหรือเปล่า เขาหันไปมองยังประตูบานนั้น ที่ลอยอยู่อย่างเงียบสงบ หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นว่า
“ไม่มีปัญหา”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่อยู่ด้านนอกม่านพลังก็ถอนหายใจออกมา
“มีท่านอยู่ จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าก็จะกลับแล้ว”
เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ประสานหมัดทั้งสอง พร้อมโค้งตัวคำนับอย่างมีมารยาท ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขากลับมาสงบอีกครั้ง เหมือนว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปสักพัก เมิ้งเหล่าก็ถอนหายใจออกมา
“นังหนูคนนี้ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร… หรือว่าของชิ้นนี้ เจ้าไม่อยากได้มันแล้ว?”
หายไปเนิ่นนานขนาดนี้ แม้กระทั่งจดหมายก็ยังไม่ส่งกลับมา
ไม่รู้จริงๆ ว่านางกำลังยุ่งเรื่องอันใดอยู่…
เมิ้งเหล่าส่ายหน้า และนึกถึงทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่าง ก่อนจะส่ายหน้าออกมาอย่างอดไม่ได้
ดูเหมือนว่ายังมีเวลาไปถามหรงซิว บางทีเขาอาจจะรู้อันใดบางอย่าง
…
ชั้นสอง ฉู่หลิวเยว่นอนอยู่บนเตียงหยกศีตลาพันปี
หรงซิวนั่งอยู่ด้านข้างของนาง พร้อมกุมมือของนางเอาไว้
มือของทั้งสองคนประสานกัน ลำแสงสีทองจางๆ สว่างวาบ
พลังอันอบอุ่นควรพุ่งเข้าสู่ร่างของฉู่หลิวเยว่ และให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายนางอย่างระมัดระวัง
อวัยวะภายใน รวมถึงชีพจรส่วนหนึ่งของนางนั้น ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุครั้งล่าสุด
แม้ว่าพลังการฟื้นฟูของนางจะแข็งแกร่งมาก แต่หรงซิวก็ยืนยันว่าจะใช้พลังของตนเองรักษาอาการบาดเจ็บให้นาง
ตอนนี้สถานการณ์ของฉู่หลิวเยว่ก็ดีกว่าเดิมอย่างมาก
บนใบหน้าที่ซีดเซียวมีเลือดฝาดขึ้นมา ลมปราณก็เสถียรกว่าเดิมเยอะมาก
อาจจะเป็นเพราะมีหรงซิวอยู่ กลิ่นกายหอมและเย็นคละคลุ้งในอากาศทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย และวางใจลงได้มาก
นางไม่ได้ฝันร้ายอีกแล้ว และหลับลงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
…
ตอนที่ผู้อาวุโสเหวินซีพามู่หงอวี่กลับมาที่สำนัก ทำให้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
ตั้งแต่ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่มีคนเข้ามาที่สำนักเลย ตอนนี้มีคนเข้ามาที่สำนักหนึ่งคน จึงได้รับความสนใจอย่างมาก
เพราะว่าเขาชอบมู่หงอวี่มาก ดังนั้นผู้อาวุโสเหวินซีจึงจัดสถานที่พักให้นางด้วยตนเอง
“เดิมทีข้าคิดว่าจะจัดให้เจ้าพักอยู่ที่เดียวกับฉู่เยว่ แต่เพราะว่าตอนนี้ฉู่เยว่ได้ย้ายที่พักแล้ว ดังนั้นข้าจึงพยายามจัดที่ให้ได้อยู่ใกล้กับเขามากที่สุด”
ผู้อาวุโสเหวินซีกับมู่หงอวี่เดินมาถึงที่ไหล่เขาแล้ว พร้อมใช้นิ้วชี้ไปทางหนึ่ง
“ที่นี่คือภูเขาหู่โถว (หัวเสือ) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คือเขาจิ่วเหิง ที่แห่งนั้นคือสถานที่พำนักของหรงซิว ตอนนี้ฉู่เยว่ย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้ว”
“ฝ่าบาท?”
มู่หงอวี่รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย
ผู้อาวุโสเหวินซีผงะไป แล้วรีบดึงสติกลับมา
ในเมื่อมู่หงอวี่เป็นเพื่อนสนิทของฉู่เยว่ เช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากที่นางจะรู้จักหรงซิว
แต่เมื่อได้ยินนางเรียกเช่นนี้ นางก็น่าจะเป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์ หรือบางทีอาจจะเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดเผ่า?
“ใช่แล้ว หลังจากที่หรงซิวเข้ามาในสำนัก เขาก็อยู่ที่นั่นเพียงผู้เดียวมาโดยตลอด เป็นคนแรกที่เขาอนุญาตให้เข้าพำนักที่นั่นด้วยกันได้ ต้องบอกเลยว่าหรงซิวปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี!”
แม้กระทั่งผู้อาวุโสอย่างพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เขาจิ่วเหิงตามอำเภอใจได้ แต่ว่าฉู่เยว่ทำได้
นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?
“ที่ฝ่าบาทดีต่อนางก็เป็นเรื่องปกติแล้วไม่ใช่หรือ?”
ทั้งสองคนหมั้นหมายกันแล้ว ขาดเพียงแค่งานแต่งงาน ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ คนอื่นไม่มีใครเทียบเคียงได้แน่นอน
ผู้อาวุโสเหวินซีได้ยินดังนั้น จึงรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา
“อ่า? เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นล่ะ?”
“แน่นอนว่า…”
พูดไปเพียงครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่มีชื่อว่าฉู่เยว่แล้ว จึงรีบหยุดคำพูดของตนเองอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีน้ำตาลกลอกไปมา พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“แน่นอนเป็นเพราะว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว!”
นางไม่รอให้ผู้อาวุโสเหวินซีถามต่อ นางรีบเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที
“จริงสิผู้อาวุโส ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่เขาจิ่วเหิง ข้าก็สามารถไปเจอพวกเขาได้เลยใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสเหวินซีหัวเราะพร้อมลูบเคราของตนเอง
“หงอวี่ เจ้าต้องรู้ว่า ตอนที่เข้าสำนักเรียนมา นางเข้ามาทดสอบพร้อมกับฉู่เยว่! อีกทั้งในตอนนี้พวกเขาทั้งหลายยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย”
ดีจนเข้าไปก่อเรื่องที่เขาหมื่นเมรัยด้วยกัน…
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของฉู่หลิวเยว่ มู่หงอวี่จึงรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน
หลัวซือซือก็รู้สึกแปลกใจขึ้นเล็กน้อย
เหตุใดผู้อาวุโสเหวินซีถึงพูดเช่นนี้… เหมือนว่ามู่หงอวี่กับฉู่เยว่จะรู้จักกัน?
และเหมือนจะอ่านความคิดของนางออก ผู้อาวุโสเหวินซีจึงหัวเราะแล้วพูดว่า
“ลืมพูดไปเลย ซือซือ หงอวี่เป็นเพื่อนสนิทของฉู่เยว่! ตอนที่นางเพิ่งมาถึงสำนักก็พูดว่าอยากจะเจอฉู่เยว่!”
หลัวซือซือชะงักไปเล็กน้อย
อย่างนี้นี่เอง…
มู่หงอวี่กะพริบตาปริบๆ
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่นี้ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าตอนนี้ฉู่เยว่อยู่ที่ใด? เสด็จ…ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าให้ข้าสอบถามว่านางยังสบายดีหรือไม่?”
ความจริงแล้วนางไม่ได้กลับบ้านมาสักพักหนึ่งแล้ว อีกทั้งตอนที่อยู่ที่ทะเลทรายจันทราสีชาด นางก็ไม่ได้ส่งจดหมายหาครอบครัวเลย
แต่ว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางยังรู้สึกขอบคุณฉู่หลิวเยว่อยู่เสมอ บางครั้งก็ยังห่วงใยอีกฝ่ายมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อนางพูดเช่นนี้ ก็ถือว่าไม่ได้ผิดอันใด
หลัวซือซือรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“…ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหงอวี่กับฉู่เยว่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากจริงๆ…”
เพียงแค่เพื่อนธรรมดา พ่อแม่ของนางจะมาเป็นห่วงอีกฝ่ายเหตุใด?
อีกทั้งดูท่าทางของมู่หงอวี่แล้ว เหมือนว่าจะไม่ได้สนิทกันธรรมดา…
ในใจของหลัวซือซือมีความผิดหวังพวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้
นางเม้มริมฝีปากแล้วพูดขึ้นว่า
“ตอนนี้ฉู่เยว่ไม่ได้อยู่ที่เขาจิ่วเหิง แต่อยู่ที่เขาเฝิงหมิน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...