หรงซิวปรายมองไป๋หลี่ฉุนพลางคลี่รอยยิ้มบางเบา
“ท่านประมุข แม้ตำแหน่งของท่านจะสูงส่ง แต่กฎเกณฑ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์ ล้วนเป็นบรรพชนก่อตั้งขึ้น มิอาจละเมิดได้ตามใจ ท่านว่าอย่างไรเล่า? ตราบที่เจียงจื่อหยวนเข้าข่ายหนึ่งในสองกรณีนี้ ข้าก็จะละเว้นโทษตายของนางให้”
สายตาของฝูงชนพลันแปลกประหลาดไปในบัดดล
จู่ๆ หรงซิวก็พูดขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมมิใช่แค่กล่าวลอยๆ เป็นแน่
บัดนี้เจียงจื่อหยวนอายุเท่าไรแล้วหนอ?
ยามอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตก็เป็นคุณหนูใหญ่ที่ถูกประคบประหงมตามใจ พรสวรรค์หรือก็พอมีอยู่บ้าง มาบัดนี้แน่นอนว่าตัวนางคนนั้นได้จากไปแล้ว
คนผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว พูดอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่แก่พระราชวังเมฆาสวรรค์กระมัง?
เช่นนั้น…ก็เหลือแค่ข้อสองที่เป็นไปได้แล้ว
แต่ว่าแม้นเซียนสุ่ยหลิงจะเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดกองกำลังที่สังกัดพระราชวังเมฆาสวรรค์ ทว่าระหว่างพวกเขาหาได้ความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันทางสายเลือดไม่!
เจียงจื่อหยวนเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเจียงแบบนี้อยู่ดีๆ จะไปมีสายเลือดผู้สืบทอดสายตรงของพระราชวังเมฆาสวรรค์ได้อย่างไรกัน!
ไป๋หลี่ฉุนทั้งตื่นตกใจทั้งเคืองขุ่น
เขาจ้องหรงซิวเขม็ง คิดลอบสืบเอาเงื่อนงำเล็กน้อยจากดวงหน้าของเขา
หรือว่าเขาจะรู้อะไรเข้าแล้ว?
ไม่น่าใช่กระมัง!
เรื่องราวพวกนั้นจมกองฝุ่นมาหลายปีดีดัก คนที่รู้ก็ลาโลกไปแทบหมดแล้ว เหตุใดหรงซิวถึงได้…
ทว่าไป๋หลี่ฉุนมิกล้าฟันธงแต่อย่างใด
ดูจากท่าทีของหรงซิว หากมิมีหลักฐานที่แน่นหนา ย่อมไม่พูดออกมาได้เรียบง่ายปานนี้แน่!
แต่ว่า…
จะให้ยอมรับง่ายๆ ได้อย่างไรเล่า!
ไป๋หลี่ฉุนรู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งกดทับหน้าอกไว้ อึดอัดคับข้องเสียจนแทบหายใจไม่ออก
“พอพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นมิใช่ว่ากรณีของคุณหนูใหญ่เจียง ดูจะไม่สอดคล้องกับทั้งสองกรณีเลยมิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสียงค่อย มองเจียงจื่อหยวนที่หมดสติไปแล้วด้วยสายตาที่เศร้าโศกอยู่ไม่น้อย
“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่เจียงเพิ่งจะอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม เมื่อก่อนเป็นลูกรักสวรรค์อยู่ดีๆ ต้องมาตกต่ำเช่นนี้ ช่างน่าเศร้านัก…”
ไป๋หลี่ฉุนโมโหเสียจนหน้าแดงก่ำ!
เสแสร้งแกล้งทำนัก!
เกรงว่าคนพวกนี้จะตั้งหน้าตั้งตารอให้เจียงจื่อหยวนตายเร็วๆ สิไม่ว่า!
ก่อนหน้านี้บีบบังคับกันทุกวิถีทาง มาครานี้กลับทำตัวปากหวานก้นเปรี้ยวเช่นนี้ ช่างชวนให้รู้สึกรังเกียจโดยแท้!
หรงซิวยังคงมีสีหน้าราบเรียบ
“มารดาผู้ให้กำเนิดนางจากไปตั้งแต่นางยังเล็ก บัดนี้เจียงเฮ่อเทียนเองก็สิ้นแล้ว เหลือแค่นางตัวคนเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเส้นลมปราณของนางขาดสะบั้น ชื่อเสียงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี…”
สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าการตายเป็นทางเดียวที่จะปลดปล่อยเจียงจื่อหยวนไปได้
ทว่าคำพูดเช่นนี้เป็นดั่งหนามแหลมที่ทิ่มแทงลงกลางใจไป๋หลี่ฉุนอย่างแรง
หรงซิวกล่าวว่า
“ท่านประมุข ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ท่านรักใคร่เอ็นดูเจียงจื่อหยวนมาแต่ไหนแต่ไร มิสู้…ท่านรีบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้?”
ระหว่างที่พูด เขาพลันก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ฝีเท้าก้าวนี้ประหนึ่งเหยียบลงใจกลางแผลสดของไป๋หลี่ฉุนอย่างไรอย่างนั้น
ฟางเส้นสุดท้ายในหัวของเขาพลันขาดสะบั้น!
“หยวนหยวนเป็นหลานในไส้ของข้า พวกเจ้าหน้าไหนเล่ากล้าแตะนาง!”
แม้นก่อนหน้านี้จะคนจำนวนไม่น้อยที่พอเดาได้ถึงเรื่องนี้ ทว่าตอนได้ยินไป๋หลี่ฉุนยอมรับเองกับหู ก็ยังคงสร้างแรงกระทบอย่างยิ่งยวดอยู่ดี!
ใครไม่รู้บ้างว่าประมุขแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ไป๋หลี่ฉุน ตลอดชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตน ไม่เคยแต่งงาน แล้วก็ไม่มีบุตรชายสืบทอดด้วย
คราที่พระราชวังเมฆาสวรรค์เกิดการแย่งชิงอำนาจตึงเครียดในหลายพื้นที่ เขาก็อาศัยฉวยใช้จุดนี้เอาชนะผู้อื่น ขึ้นครองตำแหน่งประมุขได้ในคราเดียว!
คำพูดที่เคยกล่าวในครานั้นคือ ตัวเขาไร้ซึ่งภรรยา หากเป็นประมุขแล้วไซร้ ย่อมสามารถทำตัวเที่ยงตรงยิ่งกว่าอะไรใดใด
พอมาตอนนี้ จู่ๆ เขากลับมาพูดว่าเจียงจื่อหยวนคือหลานสาวแท้ๆ ของตนอย่างนั้นหรือ!?
ช่างเป็นเรื่องมงคลที่ไร้เค้าลางมาก่อนเสียนี่กระไร!
หรงซิวชะงักฝีเท้า ริมฝีปากบางหยักยกวาดเป็นเส้นโค้งน้อยๆ
“อ้อ? ตลอดชีวิตท่านไม่เคยแต่งงานเลยสักครั้ง ไฉนถึงได้มีหลานสาวโผล่ออกมาเสียดื้อๆ เล่า? ท่านประมุข แม้ท่านจะอาลัยอาวรณ์ในตัวเจียงจื่อหยวน ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วยนาง สาดโคลนตมลงหัวตัวเองเช่นนี้หรอกกระมัง?”
ชื่อเสียงที่มีอยู่นี้ หายไปแล้วก็มิอาจเรียกกลับคืนมาได้อีก!
ไป๋หลี่ฉุนฟังแล้วขมับถึงกับปวดตุบตุบ เลือดกายในกายไหลวนเดือดพล่าน ประหนึ่งว่าแทบจะปะทุออกมาอยู่รอมร่อ!
คำพูดนี้ของหรงซิวช่างแทงใจดำคนโดยแท้!
แน่นอนว่าเขามิอาจพาบุตรสาวกลับพระราชวังเมฆาสวรรค์ด้วยได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตระเวนไปหลายต่อหลายที่ จากนั้นก็ส่งนางไปให้ครอบครัวหนึ่งเลี้ยงดู
ในระหว่างนั้น เขาก็ลอบดูแลนางอยู่ในที่ลับมาโดยตลอด
ด้วยเพราะรู้ว่านี่คือทายาทคนเดียวของเขาในชีวิตนี้ ดังนั้นเขาจึงรักใคร่เอ็นดูบุตรสาวคนนี้อย่างมาก
ภายหลังจึงคิดทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จัดแจงให้นางตบแต่งเข้าสกุลเจียง
ต่อมา นางก็ให้กำเนิดเจียงจื่อหยวน
ทว่าน่าเศร้าที่ยามคลอดนางเสียเลือดเยอะเกินไป อยู่ได้แค่ปีกว่านางก็จากโลกนี้ไป
แล้วไป๋หลี่ฉุนจะไม่รักใคร่เอ็นดูหลานสาวผู้นี้ของตนได้หรือ?
ด้วยเหตุนี้ ครานั้นในที่สุดเขาก็เชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า ไม่สนใจคำติเตียนลับหลังใดๆ จากฝูงชน แล้วจัดการพาเจียงจื่อหยวนเข้าพระราชวังเมฆาสวรรค์ ให้นางเติบโตอยู่ข้างกายตน
ของกินของใช้แลเงินจับจ่ายใช้สอย ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามข้อกำหนดของคุณหนูผู้สืบทอดพระราชวังเมฆาสวรรค์ทั้งสิ้น
เริ่มแรกทุกคนยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเขาแข็งกร้าวนัก จึงยากจะพูดอะไรออกไป
เพียงแต่เขาไร้ซึ่งบุตรชายสืบทอด ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยว บางทีอาจถูกชะตากับเจียงจื่อหยวน ถึงได้ยืนกรานเช่นนี้
เวลาผ่านไปนานจนทุกคนชินชา จึงมิได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีก
เจียงจื่อหยวนที่ได้ยินคำพูดนี้ถึงกับนิ่งงันงงงวยไม่น้อยอยู่พักใหญ่
ทว่าในไม่ช้า นางก็จับประเด็นสำคัญได้
นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของไป๋หลี่ฉุน!
นางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ตัวจริง!
นางไม่ต้องตายแล้ว! ทั้งยังจะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในภายหลังอีกด้วย!
สถานะนี้สูงศักดิ์แลมีเกียรติกว่าก่อนหน้านี้มากมิใช่หรือไร!
เจียงจื่อหยวนหลั่งน้ำตาอย่างตื่นเต้น มือกำชายเสื้อของไป๋หลี่ฉุนไว้แน่น
“ท่านตา…”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หรงซิวที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นหัวเราะน้อยๆ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็เริ่มทดสอบกันเลยเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...