สีหน้ากราดเกรี้ยวบนใบหน้าของโหมวเหยาพลันแข็งทื่อในบัดดล
ทุกคนในจัตุรัสชิงหมิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
คราแรกพวกเขาแค่ตกใจที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกะทันหัน แต่มิได้ไตร่ตรองถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อม่านหมอกจางลง พวกเขาถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อาณาเขตเซียนเทพที่จู่ๆ ก็พุ่งออกมาจากเขาเฝิงหมิน จะกลายเป็นของซั่งกวนเยว่ได้อย่างไร!
“เป็นไปมิได้!”
โหมวเหยาแย้งขึ้นทันควัน
บนโลกนี้ จะมีคนที่ทะลวงขึ้นสู่ระดับเทพขั้นสูง ก่อนเรียกใช้อาณาเขตเซียนเทพได้อย่างไร!
ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ!
“เหตุใดจะเป็นไปมิได้? ถ้านี่ไม่ใช่อาณาเขตเซียนเทพของนาง ไยมันจักฟังคำสั่งของนางเล่า?”
เมิ้งเหล่าทดสายตามองโหมวเหยา ราวกับมองคนโง่
“โหมวเหยา ถึงเจ้าจะมิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เรื่องนี้ เจ้าน่าจะเข้าใจดีมิใช่รึ? ไยจักต้องให้ข้ามานั่งสาธยายให้เจ้าฟังอีก?”
โหมวเหยาตาแดงก่ำ และโกรธจนพูดไม่ออกอยู่นาน
ทันใดนั้น มันก็หันศีรษะไปมองฉู่หลิวเยว่!
สายตาอันเฉียบคมแลเชือดเฉือนนั้น เต็มไปด้วยความสงสัยและขุ่นเคือง ก่อนจะใช้สายตาฟาดฟันไปทั่วร่างของฉู่หลิวเยว่ราวกับใบมีด!
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นไม่เห็น
อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ชนะแล้ว อย่างอื่นย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป
นางระบายยิ้มบางเบา ขนงเรียวโค้งลง
“หากผู้อาวุโสโหมวเหยามีข้อสงสัยประการใด เช่นนั้น…ข้าจะแสดงให้ท่านดูอีกครั้งว่า อาณาเขตเซียนเทพนี้เป็นของข้าจริงๆ หรือไม่”
โหมวเหยาพลันหนาวสั่นไปทั้งกาย
แสดงให้ดูอีกหรือ?
แล้วจะแสดงอย่างไร?
บาดแผลบนร่างกายของมัน เริ่มแสดงความเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง!
“ไม่ต้องแล้ว!”
โหมวเหยาตอบกลับไปอย่างหวาดหวั่น
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันไม่อยากลิ้มรสความรู้สึกนั้นอีกแล้ว!
อันที่จริงความแข็งแกร่งระดับมัน สามารถจัดการกับผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงคนหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหา
แม้นว่าซั่งกวนเยว่จะบุกทะลวงจากระดับเก้าขั้นกลางขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายมาเป็นระดับเทพขั้นสูง แต่ก็มิได้เป็นภัยคุกคามใดใดต่อมัน
แต่ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ อาณาเขตเซียนเทพนั่น!
หากนั่นเป็นอาณาเขตเซียนเทพของนางจริงๆ ก็ถือว่าพลังของมันอยู่ในระดับที่สูงกว่าอาณาเขตของผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงทั่วไปเสียอีก!
อาณาเขตผืนนี้สามารถกลืนกินทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์สีทองได้อย่างง่ายดาย และยังสู้กับพลังแห่งสายเลือดของมันได้อีก นี่มันบ้าไปแล้ว!
“ใครจะรู้ว่าคุณใช้กลเม็ดอันใด…”
แน่นอนว่าโหมวเหยากำลังไม่พอใจและแค้นเคืองอย่างยิ่ง
การต่อสู้ในวันนี้ ทำลายชื่อเสียงของมันจนป่นปี้ไม่มีชิ้นดี!
รวมถึงเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงของพวกมันทั้งหมด…
มันยังไม่รู้เลยว่าจะกลับไปอธิบายอย่างไร!
การมาเยือนในครานี้ ทำให้มันเสียทั้งฮูหยินทั้งขุนศึก[1]
ต่างจากฉู่หลิวเยว่ที่ดูหรรษาอย่างยิ่ง นางกล่าวพลางแย้มยิ้ม
ฝั่งหนึ่งเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลผู้มีสถานะสูงส่ง ส่วนอีกผ่ายเป็นแค่ศิษย์รุ่นหลานขงอสำนักวิชา…
แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วมิใช่หรือ ว่าใครรังแกใครกันแน่?
แม้เรื่องนี้จะแพร่กระจายไป ผู้ใดก็สามารถบอกได้ทันทีว่าใครถูกและใครผิด!
โหมวเหยาเป็นฝ่ายผิด แต่ตอนนี้พอเป็นฝ่ายแพ้เดิมพัน เขาก็ยิ่งสูญเสียการควบคุมอารมณ์มากขึ้น
จนเผลอทำตัวราวสุนัขขี้แพ้ไปครู่หนึ่ง!
“พวกเจ้าเอ็นดูนางเกินเหตุ สอนให้นางทำตามใจตัวเองจนเสียคน สักวันหนึ่งอาจก่อให้ปัญหาใหญ่!”
“ผู้อาวุโสโหมวเหยามิจำเป็นต้องกังวล”
ทันใดนั้น ก็มีสุ้มเสียงเย็นชาทุ้มต่ำสายหนึ่งดังขึ้น
มันเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง และแฝงไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์จนมิอาจเอื้อม
โหมวเหยาหันกลับไปมองทันที ก่อนจะเห็นหรงซิวที่เงียบอยู่นาน เอ่ยปากออกมาในที่สุด
เขาลอยตัวอยู่บนอากาศ มือข้างหนึ่งไพล่หลังไว้ ส่วนมืออีก ก็ปรากฏเปลวไฟสีทองที่กำลังลุกไหม้อยู่บนปลายนิ้วอย่างเงียบๆ
เพียงสะบัดนิ้ว เปลวไฟก็ดับลงในทันที
ปลายคางเรียวมนเงยขึ้นเล็กน้อย พลันสบตากับโหมวเหยา
ภายในดวงตาอันลึกล้ำจนมิอาจหยั่งถึง ราวมีคลื่นพายุก่อตัวขึ้น
ครู่ต่อมา หรงซิวก็ยกยิ้มมุมปากเบาๆ
“ชายาของข้า หากนางก่อปัญหา ข้าจักรับผิดชอบเอง”
เพียงคำพูดง่ายๆ สั้นๆ แต่กลับหนักแน่นจนไม่อาจต่อต้านได้!
[1] เสียทั้งฮูหยินทั้งขุนศึก หมายถึง การสูญเสียสองอย่างในครั้งเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...