บนร่างของเขาปรากฏรอยแผลปริแตกขึ้นมาไม่หยุด ทว่าบาดแผลเหล่านี้กลับสมานกันด้วยความรวดเร็วอันน่าสะเทือนใจ
ราวกับแทรกเข้ามาอยู่ท่ามกลางวังวนอันแปลกพิกลชนิดหนึ่ง
เพียงแต่กระบวนการนี้ สำหรับหรงซิวแล้ว ชัดแจ้งว่าเป็นความทรมานอันต่อเนื่องยาวนานฉากหนึ่ง
เขามองคนในอ้อมอกปราดหนึ่ง
แม้จะยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่บนร่างก็ไม่มีบาดแผลหลงเหลืออยู่แล้ว ปราณเย็นเยียบเหล่านั้นเองก็ถอดถอนออกจากภายในร่างของนางทีละเล็กละน้อยเช่นกัน
เขาผ่อนลมหายใจอยู่ภายในใจครึ่งหนึ่ง โอบช่วงเอวอันเล็กบางของนางเอาไว้มั่น แล้วนำคนมาไว้ที่กลางอกอย่างแนบแน่น
เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ร่างกายของนางก็ค่อยๆ ฟื้นคืนความอบอุ่นขึ้นมาจำนวนหนึ่ง
หรงซิวกระตุ้นพละกำลังภายในร่าง กุมมือของนางแน่น นำปราณเยียบเย็นที่เหลือ กำจัดไปเสียจนสิ้นซาก
ทุกสารทิศเงียบงันไร้เสียง ราวกับกีดกั้นสรรพเสียงทั้งหมดจากด้านนอกออกไป
มองขึ้นไปด้านบน เป็นระลอกน้ำอันอึมครึม
มองลงไปด้านล่าง เป็นก้อนศิลาที่แตกเป็นหลายเสี่ยง
ตรงกลางเป็นริ้วแสงสีเงินล่องไสวจำนวนนับไม่ถ้วน
นั่นคืออานุภาพของค่ายกลกระสวยสวรรค์!
บางทีอาจเป็นเพราะถูกอานุภาพขุมนี้ดูดซับเอาไว้ ก้อนศิลาที่ด้านล่างแม้จะปรากฏรอยแตกหลายสาย แต่ก็หยุดแผ่รอยแขนงลงชั่วคราวแล้ว
อีกทั้ง เกล็ดน้ำแข็งที่ลอยตลบอยู่โดยรอบ ส่วนมากก็ล้วนเลือนหายไปแล้วในเวลานี้
เหลืออยู่แค่เพียงเหนือก้อนศิลานั้น เป็นชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง ดำรงอยู่อย่างดื้อดึง
…
เหนือเนินเขาครึ่งทาง หลัวเยี่ยนหมิงและหลัวเยี่ยนหลินนั่งประจันหน้ากัน
ระหว่างทั้งสองคน มีกระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งวางเอาไว้อยู่
หัวคิ้วของหลัวเยี่ยนหมิงขมวดมุ่น บนหน้าผากก็มีเม็ดเหงื่ออันเล็กละเอียดผุดพราย
เขากำลังจดจ้องกระดานหมากล้อมนี้อยู่ มองมาเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ แล้ว กลับยังไม่ลงหมาก
“การระแวดระวังเกินพอดี ก็คือความโลเล”
หลัวเยี่ยนหลินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอ่ยอย่างแช่มช้า
ในใจของหลัวเยี่ยนหมิงยิ่งเคร่งเครียด คลึงเม็ดหมากล้อมในมืออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ลงหมากอย่างลังเล
หลัวเยี่ยนหลินแทบจะในทันที ก็ลงมากอย่างรวดเร็ว
แปะ
“เจ้าแพ้แล้ว”
ท่าทีของหลัวเยี่ยนหมิงซึมเซาลงไปในทันที สีหน้ากระดากอาย
“พี่สี่ ข้าไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว”
อันที่จริงเขารู้ว่า พี่สี่จงใจอ่อนข้อให้เขาแล้ว
น่าเสียดาย ไหวพริบพรสวรรค์ของเขาไม่เพียงพอ สุดท้ายก็ไม่อาจเทียบเคียงกับพี่สี่ได้
“เจ้านั้นขยันและสุขุมมาตั้งแต่เด็ก เพียงจุดนี้ลำพัง ก็เอาชนะเหนือผู้คนไปไม่น้อยแล้ว ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่อาจสอบเข้ามาในสำนักหลิงเซียวได้”
หลัวเยี่ยนหลินหัวเราะเสียงหนึ่ง ทีท่าที่มีต่อเขากลับเปิดเผยเป็นอย่างมาก
เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“หมากตานี้ เจ้ากลับไปพิเคราะห์ด้วยตนเองให้ดีๆ สักหน่อย”
“ขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงตอบรับเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อม แต่ถึงอย่างไรที่ระหว่างคิ้ว กลับยังแฝงไว้ด้วยแววเดียวดายอยู่หลายส่วน
“เป็นอันใดหรือ”
เมื่อตระหนักได้ว่าอารมณ์ของเขาไม่ถูกต้องอยู่บ้าง หลัวเยี่ยนหลินจึงเอ่ยถามเพิ่มสองประโยค
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วถึงได้ช้อนตาขึ้นเอ่ยถาม
“พี่สี่ ที่จริงข้าก็รู้ ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ของข้า แม้จะพยายามอีก ขยันอีก ก็เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ไม่อาจก้าวข้ามความสำเร็จในด้านนี้ของ่ทานได้ กระทั่งผู้คนมากมายในสำนัก ก็ล้วนมีพรสวรรค์ดีกว่าข้า ท่านว่า…ข้าวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ยังมีความหมายหรือ?”
สิ่งที่ทำให้หลัวเยี่ยนหมิงประหลาดใจก็คือ พี่สี่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวอย่างที่คาดเดาเอาไว้ กลับยกยิ้มขึ้นมา
“ที่จิตใจของเจ้าไม่สงบในช่วงนี้ เพราะกำลังคิดเรื่องนี้หรือ”
หลัวเยี่ยนหมิงหยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่กลัดกลุ้ม
อันที่จริงอารมณ์ประเภทนี้ รังควานเขามาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
เข้ามาในสำนักหลิงเซียวหลายเดือนแล้ว ตอนแรกเริ่มเขายังมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าอย่างเนิบช้า เขาก็ค้นพบ แท้จริงแล้วตนไม่ได้โดเด่นถึงเพียงนั้น
หลัวเยี่ยนหมิงปากอ้าตาค้าง
“เจ้าหนุ่ม อัจฉริยะบนโลกนี้มีมากมาย การมาสงสัยในตนเองอยู่ที่นี่ ไม่สู้การไปยกระดับความสามารถให้มากขึ้นสักหน่อย!”
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน พยักหน้าน้อยๆ อย่างหนักแน่น จากนั้นก็มองไปยังทิศของเขาหมื่นเมรัยโดยไม่รู้ตัว
“เช่นนั้น…พี่สี่ ในเมื่อพวกเขาทั้งสองเก่งกาจเช่นนี้ ครั้งนี้…”
ดวงตาของหลัวเยี่ยนหลินหรี่ลงเล็กน้อย
“หรงซิวไม่ทำเรื่องไร้การควบคุม ส่วนซั่งกวนเยว่…นางจะเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมยิ่งอาวรณ์เป็นธรรมดา”
เขาไม่รู้สึกว่า สองคนนั้นจะไปหาที่ตาย
หลัวเยี่ยนหมิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“แต่…พรุ่งนี้ก็จะหนึ่งเดือนแล้ว ถึงตอนนั้นค่ายกลกระสวยสวรรค์ ยิ่งจะบดขยี้เขาหมื่นเมรัยจนย่อยยับ หากพวกเขายังไม่ออกมา…”
แววตาของหลัวเยี่ยนหลินพลันเปลี่ยนไป
“ช่วงนี้ หลินจือเฟยและมู่หงอวี่ คล้ายว่าจะไม่ได้ออกมาเลยใช่หรือไม่”
“หือ อ้อ ถูกต้องขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงมองไปตามสายตาของเขา
หลักจากตั้งแต่เห็นหลินจือเฟยและมู่หงอวี่เข้าไปในถ้ำภูเขาด้วยกันในวันนั้น ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของทั้งสองคนอีกจริงๆ
แต่ช่วงนี้สำนักวุ่นวายครั้งใหญ่ ทุกคนล้วนอกสั่นขวัญแขวน ย่อมไม่ค่อยมีคนใส่ใจเรื่องนี้
ความคิดของหลัวเยี่ยนหลินพลันแล่นพล่าน สุดท้ายก็ยังเอ่ยว่า
“วันนี้เย็นมากแล้ว เจ้ากลับไป…”
ครืน!
วาจาหนึ่งประโยคยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ได้ยินว่าทิศของเขาหมื่นเมรัย จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งลอยมา!
ทั้งสองคนหัวใจกระตุกวาบ พลันหันมองไปทางนั้น!
เวลานี้ก็เย็นย่ำแล้ว อัสดงลับลงประจิม แสงสีแสดอุ่นส่องกระทบชั้นเมฆ สะท้อนสีสายันณ์ผืนหนึ่งไปครึ่งท้องฟ้า
ทว่าเขาหมื่นเมรัย ตั้งแต่ตำแหน่งครึ่งไหล่เขาลงมา จู่ๆ ก็พังทลายลงอย่างต่อในฉับพลัน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...