ศพของฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันจะเย็น หลิงจู๋ไม่เคยคิดเลยว่า ฉู่เซียนหมิ่นจะดั้นด้นมาที่นี่เพื่อพูดถึงเรื่องนี้เป็นคนแรก!
ถึงแม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ฉู่เซียนหมิ่นพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้โดยไม่มียางอายเลยหรือ
นี่ไม่ใช่การเหยียบย่ำซ้ำเติมบนร่างของฉู่หลิวเยว่หรือ
หลิงจู๋มีสีหน้าแข็งกร้าว
“เซียนหมิ่น เจ้ามาหาผู้อาวุโสซุนเพียงเพื่อพูดเรื่องนี้หรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นก็รู้สึกว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป นางจึงก้มหน้าหลุบตาแล้วแสร้งตีหน้าเศร้า
“อาจารย์หลิงจู๋เจ้าคะ ข้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม หากแต่คนตายแล้วมิอาจฟื้นกลับมาได้ พวกเราเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงอย่างไรก็ต้องทำเรื่องที่สมควรทำให้ดีที่สุดถึงจะถูกต้อง ราชวงศ์เทียนลิ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่ ถ้าหากว่าไม่จัดการเรื่องพวกนี้ให้เฉียบขาดล่ะก็…”
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเป็นกังวล เจ้ากลับไปพักผ่อนรักษาตัวจะดีกว่า”
หลิงจู๋มองสีหน้าเศร้าสร้อยของฉู่เซียนหมิ่นแล้ว ทว่าในใจกลับมีความรู้สึกสะอิดสะเอียน
ถ้าหากว่าฉู่เซียนหมิ่นเป็นห่วงเป็นใยฉู่หลิวเยว่สักนิด ก็คงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด
ในเมื่อนางพูดมันออกมาได้ เหตุใดถึงต้องแกล้งทำเสแสร้งเช่นนี้ด้วย
ฉู่เซียนหมิ่นไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของหลิงจู๋ ทั้งยังเอ่ยด้วยความลังเลอีกว่า
“คือว่าเรื่องนี้…”
“รอผู้อาวุโสซุนว่างเมื่อไหร่ ข้าจะไปคุยกับเขาเอง” หลิงจู๋เปลี่ยนสายตา
คราวนี้ฉู่เซียนหมิ่นก็แสดงความสบายใจออกมา
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นศิษย์ขอตัวลาก่อน เชิญท่านกลับไปทำธุระเถิด”
เมื่อกล่าวจบนางก็หันหลังเดินออกไป
หลังจากที่เดินพ้นจากสวนเถาหลี่แล้ว ฉู่เซียนหมิ่นก็ยกยิ้มมุมปากภายใต้ผ้าคลุมหน้า
ในเมื่อฉู่หลิวเยว่ตายแล้ว ทางสำนักจะต้องหาคนขึ้นมาแทนตำแหน่งอย่างแน่นอน ซึ่งจะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากอันดับที่สองเฉกเช่นนางจึงจะเหมาะสมที่สุด!
ราชวงศ์เทียนลิ่ง…เป็นถึงราชวงศ์ที่ทรงอำนาจในตำนาน!
ถ้าหากว่าสามารถใช้โอกาสนี้ในการสร้างสัมพันธ์กับพวกเขาได้ แล้วในอนาคต…ยังจะกลัวว่าไม่สามารถปีนไปอยู่จุดสูงเหรือผู้ใดอีกหรือ
เวลานี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่านางตกอับ และไม่มีทางกลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีก แม้กระทั่งบ่าวรับใช้ในจวนองค์ชายรัชทายาทยังกล้าจ้องหน้าจ้องตานางอย่างมิเกรงกลัว!
รอนางได้เฉิดฉายอีกครั้ง ดูสิว่าคนพวกนั้นยังจะกล้าหัวเราะนางได้อีกหรือไม่!
…
หลิงจู๋เฝ้ามองแผ่นหลังของฉู่เซียนหมิ่นจนกระทั่งร่างของนางหายลับไปในที่สุด เขาก็ถอนหายใจและขมวดคิ้วมุ่น
นอกจากความกรุ่นโกรธที่อยู่ในใจ เขายังคงมีความรู้สึกสับสนอีกด้วย
ฉู่เซียนหมิ่น…นางกลายเป็นคนเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หรือว่าเขาจะมองนางผิดไปตั้งแต่เมื่อครั้นแรกเห็นแล้ว
…
หลังจากที่แก้ปัญหาเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกฉู่เซียนหมิ่นก็กะว่าจะกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย ยังเดินไม่ทันถึงที่พัก ตระกูลฉู่ก็ส่งคนมารายงานว่าฉู่เยี่ยนผู้เป็นบิดาของนางถูกตีจนเกือบตาย และนายหญิงลู่เหยาให้รีบตามนางกลับเรือนโดยเร็วที่สุด
ฉู่เซียนหมิ่นตกใจ จากนั้นนางก็ไปขอลากลับบ้านกับอาจารย์ทันทีโดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตนแม้แต่น้อย
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลฉู่อีกครั้ง ฉู่เซียนหมิ่นก็รู้สึกประหม่าเป็นอย่างยิ่ง แล้วจู่ๆ นางก็มีความรู้สึกไม่อยากเข้าไปข้างใน
ตั้งแต่ที่นางตบแต่งเข้าจวนองค์ชายรัชทายาทไป นางก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านตระกูลฉู่อีกเลย
ขณะนั้นนางแต่งออกไปด้วยบรรยากาศเงียบเหงาเย็นยะเยือก จนทำให้นางรู้สึกอับอายขายขี้หน้าไปได้อีกสิบๆ ปีเลยก็ว่าได้ เดิมทีคิดว่าสักวันหนึ่งหากได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจวนรัชทายาท นางค่อยกลับมาที่นี่อย่างเต็มภาคภูมิ ทว่าระยะนี้องค์ชายรัชทายาททรงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทรงอักษร แม้กระทั่งอยากเจอหน้าสักครั้งยังเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง กระนั้นเรื่องอื่นคงไม่ต้องเอ่ยถึง
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง บ่าวรับใช้บริเวณประตูใหญ่ต่างเห็นนางแล้ว ก็เข้ามาพูดกับนางด้วยวาจาร้ายกาจแปลกๆ
“โอ้ นึกว่าใครที่ไหน คุณหนูสามกลับมาแล้วนี่เอง! ดูสีหน้าท่านมิสู้ดีเท่าไหร่ หรือว่าท่านไปอยู่ที่จวนองค์ชายรัชทายาทแล้วอึดอัดหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์