……….
ต่อให้อันตราย แต่ในเมื่อของสิ่งนั้นอยู่ที่นั่น พวกเขาก็จะต้องไป!
“ผู้อาวุโสอูเผิง!”
หนานอวี่สิงตะโกนเรียกขึ้นมาอย่างลังเล
“ตอนนี้ที่แห่งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก เช่นนั้นพวกเรารออีกสักพักแล้วค่อยไปดีหรือไม่?”
ผู้อาวุโสอูเผิงชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองหน้าเขา ใบหน้าไร้อารมณ์
“คุณชายใหญ่ ของสิ่งนั้นไม่ได้มีแค่พวกเราที่กำลังค้นหาอยู่ หากไปช้าแล้ว และพลาดโอกาสทองไป…การเดินทางมาที่นี่ของพวกเราก็ถือว่าเสียเที่ยวแล้ว ท่านวางใจเถอะ มีข้ากับไป๋ถงอยู่ ข้าจะปกป้องท่านกับคุณหนูรองให้อยู่รอดปลอดภัยแน่นอน”
“ข้าไม่ได้…” หมายความเช่นนั้น
หนานอวี่สิงพูดออกมาได้เพียงครึ่งประโยค ก็ต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงไป
คำพูดเหล่านี้เขาได้ยินเองก็ยังรู้สึกละอายใจ
ผู้อาวุโสอูเผิงเป็นใครกัน? จะมองความหมายแฝงในประโยคเหล่านี้ไม่ออกเชียวหรือ?
หนานอวี่สิงรู้สึกกระดากอายขึ้นมาภายในใจ
ปกติแล้วเขาเป็นคนใจกล้า ไม่เคยกลัวสิ่งใด
ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางตอบตกลงท่านพ่อ แล้วเดินทางมาสุสานสังหารเทพพร้อมกับหนานอีอีแน่นอน
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะอันตรายกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก
สองวันที่ผ่านมานี้เขาประสบอุบัติเหตุและได้รับการทรมานมากมาย ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนว่าร่างกายของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสอูเผิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ อีกทั้งเพื่อค้นหาของสิ่งนั้นแล้ว เหตุผลนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนโต้เถียงได้
หนานอวี่สิงรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็กัดฟันตอบรับ
“ท่านพูดได้ถูกต้อง สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเรารีบไปค้นหาของสิ่งนั้นแล้วรีบจากไปจะดีที่สุด!”
แม้ว่าหนานอีอีแต่รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ทุกคนล้วนพูดเช่นนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่นางจะพูดว่าไม่ไป
ยิ่งไปกว่านั้นการค้นหาของสิ่งนั้น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่นางควรจะต้องทำ
นางเดินติดตามไป เหมือนว่ากำลังจะโน้มน้าวหนานอวี่สิง แต่ทางหนึ่งก็เหมือนกำลังปลอบใจตนเอง
“ความจริงแล้วข้ากลับรู้สึกว่า กว่าพวกเราจะไปถึงที่นั่น การต่อสู้ทางนั้นก็คงสิ้นสุดลงแล้ว…ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเป้าหมายของชายชุดดำก็ไม่ใช่พวกเรา หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาคงจะไม่มาหาเรื่องพวกเราอีก…”
ผู้อาวุโสอูเผิงมองตรงไปทิศทางตรงหน้า หัวคิ้วขมวดขึ้น ในแววตามีประกายความกังวลปรากฏขึ้นหนึ่งสาย
หากเป็นเช่นนี้จริง ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว
แต่…
ชายผู้นั้นพูดว่า ที่แห่งนั้นคือถิ่นของเขา
หากของสิ่งนั้นอยู่ที่นั่นจริง แล้วพวกเขาต้องการจะไปแย่งมา เกรงว่า…มันไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น…
ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งถูกย้อมเป็นสีเลือด
แรงกดดันและปราณมารไร้รูปร่างพลุ่งพล่านขึ้นมาระหว่างฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง จนแทบจะทำแค่คนหายใจไม่ออก!
หรงซิวสะบัดแขนเสื้อ ม่านพลังชั้นหนึ่งครอบคลุมร่างกายของฉู่หนิงเอาไว้
ถวนจื่อเงยหน้าขึ้นมอง
“นั่นมันของบ้าอันใดกัน…”
ลมปราณที่เย็นยะเยือกทำให้นางรู้สึกไม่ดี
นางโบกมือเล็กๆ ขึ้น ทันใดนั้นแส้เพลิงสีทองคำชาดก็ถูกสะบัดออกมา!
พรึ่บ!
เสียงแส้ตัดผ่านอากาศดังขึ้นอย่างคมชัด!
ทันใดนั้นเองแส้เพลิงนั้นก็ตวัดไปอยู่ตรงหน้าของลำแสงสีเลือด!
ตอนที่แส้เพลิงกำลังจะพันรอบลำแสงสีเลือด เสียง ‘ฉ่าๆ’ อันแปลกประหลาดก็ดังออกมา ในขณะเดียวกันก็มีหมอกสีดำกระจายออกมาด้วย
พร้อมตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือดที่ทำให้ผู้คนยากจะรับได้!
แส้เพลิงสายนั้นถูกกัดกร่อนด้วยความเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
แต่หลังจากผ่านไปไม่นาน แส้เพลิงสีทองคำชาดก็ขาดครึ่ง! อีกทั้งส่วนที่พันรอบลำแสงก็ถูกกัดกร่อนไปจนหมดสิ้น!
ถวนจื่อรู้สึกตกใจอย่างมาก จนเบิกตากว้างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ตั้งแต่นางเปิดเส้นชีพจรเส้นที่สี่ได้ อีกทั้งยังสืบทอดพลังจากท่านบรรพบุรุษ นางก็แทบจะสามารถเอาชนะทุกผู้คนได้!
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียเปรียบ
เห็นได้ชัดว่าพลังของอีกฝ่ายในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าตอนเริ่มต้นหลายส่วน!
ชายสวมชุดดำหัวเราะขึ้นมาเสียงเย็นในทันที
“ในเมื่อเจ้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ลองชิมพลังระดับสามดูหน่อยเป็นไร!”
ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มเมฆและพายุบนท้องฟ้าเริ่มเคลื่อนที่ในทันที!
สีเลือดที่เข้มข้นรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นแท่งน้ำแข็งและแทงเข้าไปโดยตรงในทันที!
ฟิ้ว!
เสียงแหลมแหวกอากาศดังสะท้อนขึ้นมา ทำให้หนังศีรษะของผู้คนชาหนึบ!
จากนั้นมันก็พุ่งตรงไปทางถวนจื่อ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...