เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1693

……….

นี่…นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?

ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อนางมองแสงสะท้อนที่ส่องออกมาเหล่านี้ ภายในหัวใจของหนานอีอีก็มีความหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบายขึ้นได้ปรากฏขึ้น!

ต่อให้นางจะไม่รู้ว่าแสงนั้นมันคืออันใด แต่นางสามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่น่ากลัว!

นางถอยร่นลงอย่างไม่ต้องคิด!

ในขณะเดียวกันนั้นฉู่หลิวเยว่เองก็ได้ยินเสียงฉินเช่นกัน

นางเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าหนานอีอีที่อยู่ตรงหน้าของนางมองไปที่กำแพงด้านหลังด้วยความหวาดกลัว

ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความสยดสยอง

ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับได้เห็นอันใดบางอย่างที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

ตอนที่หนานอีอีถอยร่นลงไป ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้หันกลับไปมอง

เมื่อนางเห็นก็ต้องทำให้นางตกตะลึงค้างไป

เพราะว่านางสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า ลำแสงที่รวมตัวกันอยู่อย่างต่อเนื่องนี้ เหมือนกับ…กำลังก่อร่างเป็นสัญลักษณ์อันใดบางอย่าง

อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใด นางจึงรู้สึกคุ้นตามันเล็กน้อย

นางขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม และถอยหลังลงไป เพราะต้องการเห็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่อย่างถนัดตาว่ามันคือสัญลักษณ์อันใดกันแน่

แต่ทันทีที่นางยกเท้าขึ้น แรงดึงดูดอันทรงพลังก็แผ่กระจายออกมาจากกำแพงแห่งนั้น!

ร่างกายของนางจึงพุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้!

วินาทีต่อมาเงาร่างของนางก็หายไปจากกำแพงแห่งนั้น!

ทุกคนยังไม่ทันดึงสติกลับมาได้ก็เห็นว่าเงาร่างสีขาวพุ่งตัวติดตามไปที่ด้านหลังของกำแพงนั้นอย่างรวดเร็ว!

ซึ่งคนผู้นั้นคือหรงซิว!

นอกจากนั้นยังมีเงาร่างเล็กๆ ติดตามหรงซิวไป ระยะห่างกันเพียงครึ่งก้าว อีกฝ่ายรีบสาวเท้าและตามไปอย่างรวดเร็ว!

นั่นคือ ถวนจื่อ!

ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น!

จากนั้นทุกคนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เงาร่างทั้งสามหายตัวไปอย่างรวดเร็ว!

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจตะลึงตาค้างไป

นั่นเป็นเพียงแค่กำแพงไม่ใช่หรือ?

เหตุใดถึงสามารถกลืนกินคนทั้งสามไปได้เล่า?

พวกเขาไม่มีเวลาตอบโต้ด้วยซ้ำ!

หนานซู่ไหวขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่า บนกำแพงสีดำนั้นมีลำแสงหลายสายปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

พวกมันกำลังเกี่ยวพันก่อร่างเป็นสัญลักษณ์อันใดบางอย่าง

พลังนั้นน่าประหลาดใจยิ่ง แม้กระทั่งความว่างเปล่าโดยรอบกำแพงนั้นก็ยังสั่นสะเทือนไปด้วยเช่นกัน!

หนานซู่ไหวหยุดการต่อสู้ และรีบพุ่งตัวติดตามไปทันที

หลังจากเดินไปครึ่งทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

“เจ้าสำนักหนาน”

หนานซู่ไหวหันกลับไปมอง

“เจ้าคือ…ฉู่หนิง บิดาของนังหนูเยว่เออร์หรือ?”

ฉู่หนิงรีบพยักหน้า พร้อมพูดด้วยสีหน้าลังเล

“เจ้าสำนักหนานต้องการจะเข้าไปหรือ? ไม่ทราบว่าฉู่หนิงสามารถเดินทางร่วมกับท่านได้หรือไม่?

เขารู้สึกเป็นห่วงเยว่เออร์จริงๆ

แม้ว่าจะมีหรงซิวและถวนจื่อติดตามเข้าไปแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันแปลกประหลาดมากเกินไป เขาจึงไม่อาจวางใจได้

หากสามารถร่วมเดินทางไปพร้อมกันได้ก็คงจะลดเรื่องยุ่งยากไปได้มากทีเดียว

หนานซู่ไหวพยักหน้าขึ้นลงอย่างไม่ลังเล

“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”

เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในกำแพงสีดำพร้อมกันทันที!

สถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเงียบเสียงลงในทันที

ลั่วเหยี่ยนอัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์กลับ และขมวดคิ้วมองไปทางกำแพงสีดำแห่งนั้น

ความจริงแล้วตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เขาก็สามารถสังเกตกำแพงนั้นตั้งแต่ในคราแรก แต่เพราะว่าความสนใจของเขาก่อนหน้านี้อยู่ที่หนานอีอีและซั่งกวนเยว่ทั้งหมด เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก

แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่ากำแพงแห่งนั้น จะมีอันใดไม่ชอบมาพากลจริงๆ!

“เมื่อ…เมื่อครู่นี้มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”

หนานอวี่สิงพึมพำขึ้นมาด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้ ในแววตามีความหวาดกลัวเล็กน้อย

เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย แต่เหตุใดตอนนี้ทุกคนถึงหายไปอย่างกะทันหันล่ะ?

ลั่วเหยี่ยนสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า ราวกับตั้งใจจะเข้าไปด้านใน

หนานอีอีรีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้

ยังดีที่สถานการณ์เช่นนี้คงอยู่ไม่นาน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายตกลงสู่พื้นดินแล้ว

พื้นดินอ่อนนุ่ม เมื่อร่วงหล่นก็ไม่บาดเจ็บ

ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืน ในตอนที่กำลังจะหยิบไข่มุกขึ้นมาส่อง ทันใดนั้นก็มีลำแสงจางๆ ปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ

นางเงยหน้าขึ้นมอง

เหนือศีรษะเป็นท้องฟ้าสีดำคราม ราวกับท้องฟ้าในยามราตรี

เพียงแต่ว่าตำแหน่งตรงกลางท้องฟ้านั้น เกิดเป็นรูหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

ลำแสงสาดส่องจากส่วนกลางกระทบเข้าที่ร่างของฉู่หลิวเยว่

และด้วยลำแสงนี้ ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างอย่างชัดเจนได้

ไม่มีทิวทัศน์

สิ่งที่นางมองเห็นมีเพียงแค่ดินแดนที่เป็นสีดำเท่านั้น

นอกจากพื้นที่แห่งนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอยู่เลย

นางสามารถมองเห็นในรัศมีร้อยลี้เท่านั้น หากไกลกว่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงซ่อนอยู่ในความมืด ยากที่จะเข้าใกล้และคาดเดา

“หรงซิว?”

ฉู่หลิวเยว่ตะโกนขึ้นเสียงเบา

ก่อนที่นางจะเข้ามาด้านใน นางเหมือนเห็นว่าหรงซิวได้ติดตามนางมาอย่างใกล้ชิด

แต่ตอนนี้เหมือนว่านางกับเขาจะไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน

ฉู่หลิวเยว่ตะโกนขึ้นอีกสองครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

เดิมทีนางก็สามารถคาดเดาสิ่งนี้ได้อยู่แล้ว ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก และไม่ได้สนใจอันใดมาก

แต่ว่า…ถวนจื่อเล่า?

“ถวนจื่อ? ถวนจื่อ?”

ฉู่หลิวเยว่ตะโกนหาถวนจื่ออยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเช่นกัน

รอบข้างเงียบสนิท

ฉู่หลิวเยว่กำหมัดกรอด

ถวนจื่อเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนาง มีจิตเชื่อมถึงกัน ต่อให้อยู่ในระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสถึงกันได้เช่นเดิม

แต่ในตอนนี้นางไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของถวนจื่อเลยแม้แต่น้อย

*เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย สำนวน หมายถึง คนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามทำงาน แต่กลับหวังที่จะได้ผลงานที่ดี หรือได้สิ่งตอบแทนดีๆ อย่างลมๆ แล้งๆ ซึ่งมันไม่มีวันเป็นไปได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์