……….
นี่…นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?
ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อนางมองแสงสะท้อนที่ส่องออกมาเหล่านี้ ภายในหัวใจของหนานอีอีก็มีความหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบายขึ้นได้ปรากฏขึ้น!
ต่อให้นางจะไม่รู้ว่าแสงนั้นมันคืออันใด แต่นางสามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่น่ากลัว!
นางถอยร่นลงอย่างไม่ต้องคิด!
ในขณะเดียวกันนั้นฉู่หลิวเยว่เองก็ได้ยินเสียงฉินเช่นกัน
นางเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าหนานอีอีที่อยู่ตรงหน้าของนางมองไปที่กำแพงด้านหลังด้วยความหวาดกลัว
ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความสยดสยอง
ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับได้เห็นอันใดบางอย่างที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต
ตอนที่หนานอีอีถอยร่นลงไป ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้หันกลับไปมอง
เมื่อนางเห็นก็ต้องทำให้นางตกตะลึงค้างไป
เพราะว่านางสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า ลำแสงที่รวมตัวกันอยู่อย่างต่อเนื่องนี้ เหมือนกับ…กำลังก่อร่างเป็นสัญลักษณ์อันใดบางอย่าง
อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใด นางจึงรู้สึกคุ้นตามันเล็กน้อย
นางขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม และถอยหลังลงไป เพราะต้องการเห็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่อย่างถนัดตาว่ามันคือสัญลักษณ์อันใดกันแน่
แต่ทันทีที่นางยกเท้าขึ้น แรงดึงดูดอันทรงพลังก็แผ่กระจายออกมาจากกำแพงแห่งนั้น!
ร่างกายของนางจึงพุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้!
วินาทีต่อมาเงาร่างของนางก็หายไปจากกำแพงแห่งนั้น!
ทุกคนยังไม่ทันดึงสติกลับมาได้ก็เห็นว่าเงาร่างสีขาวพุ่งตัวติดตามไปที่ด้านหลังของกำแพงนั้นอย่างรวดเร็ว!
ซึ่งคนผู้นั้นคือหรงซิว!
นอกจากนั้นยังมีเงาร่างเล็กๆ ติดตามหรงซิวไป ระยะห่างกันเพียงครึ่งก้าว อีกฝ่ายรีบสาวเท้าและตามไปอย่างรวดเร็ว!
นั่นคือ ถวนจื่อ!
ทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น!
จากนั้นทุกคนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เงาร่างทั้งสามหายตัวไปอย่างรวดเร็ว!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจตะลึงตาค้างไป
นั่นเป็นเพียงแค่กำแพงไม่ใช่หรือ?
เหตุใดถึงสามารถกลืนกินคนทั้งสามไปได้เล่า?
พวกเขาไม่มีเวลาตอบโต้ด้วยซ้ำ!
หนานซู่ไหวขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่า บนกำแพงสีดำนั้นมีลำแสงหลายสายปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
พวกมันกำลังเกี่ยวพันก่อร่างเป็นสัญลักษณ์อันใดบางอย่าง
พลังนั้นน่าประหลาดใจยิ่ง แม้กระทั่งความว่างเปล่าโดยรอบกำแพงนั้นก็ยังสั่นสะเทือนไปด้วยเช่นกัน!
หนานซู่ไหวหยุดการต่อสู้ และรีบพุ่งตัวติดตามไปทันที
หลังจากเดินไปครึ่งทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าสำนักหนาน”
หนานซู่ไหวหันกลับไปมอง
“เจ้าคือ…ฉู่หนิง บิดาของนังหนูเยว่เออร์หรือ?”
ฉู่หนิงรีบพยักหน้า พร้อมพูดด้วยสีหน้าลังเล
“เจ้าสำนักหนานต้องการจะเข้าไปหรือ? ไม่ทราบว่าฉู่หนิงสามารถเดินทางร่วมกับท่านได้หรือไม่?
เขารู้สึกเป็นห่วงเยว่เออร์จริงๆ
แม้ว่าจะมีหรงซิวและถวนจื่อติดตามเข้าไปแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันแปลกประหลาดมากเกินไป เขาจึงไม่อาจวางใจได้
หากสามารถร่วมเดินทางไปพร้อมกันได้ก็คงจะลดเรื่องยุ่งยากไปได้มากทีเดียว
หนานซู่ไหวพยักหน้าขึ้นลงอย่างไม่ลังเล
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบทั้งสองคนก็มุ่งหน้าเข้าไปในกำแพงสีดำพร้อมกันทันที!
…
สถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเงียบเสียงลงในทันที
ลั่วเหยี่ยนอัญเชิญร่างศักดิ์สิทธิ์กลับ และขมวดคิ้วมองไปทางกำแพงสีดำแห่งนั้น
ความจริงแล้วตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เขาก็สามารถสังเกตกำแพงนั้นตั้งแต่ในคราแรก แต่เพราะว่าความสนใจของเขาก่อนหน้านี้อยู่ที่หนานอีอีและซั่งกวนเยว่ทั้งหมด เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่ากำแพงแห่งนั้น จะมีอันใดไม่ชอบมาพากลจริงๆ!
“เมื่อ…เมื่อครู่นี้มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
หนานอวี่สิงพึมพำขึ้นมาด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้ ในแววตามีความหวาดกลัวเล็กน้อย
เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย แต่เหตุใดตอนนี้ทุกคนถึงหายไปอย่างกะทันหันล่ะ?
ลั่วเหยี่ยนสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า ราวกับตั้งใจจะเข้าไปด้านใน
หนานอีอีรีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
ยังดีที่สถานการณ์เช่นนี้คงอยู่ไม่นาน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าร่างกายตกลงสู่พื้นดินแล้ว
พื้นดินอ่อนนุ่ม เมื่อร่วงหล่นก็ไม่บาดเจ็บ
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืน ในตอนที่กำลังจะหยิบไข่มุกขึ้นมาส่อง ทันใดนั้นก็มีลำแสงจางๆ ปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ
นางเงยหน้าขึ้นมอง
เหนือศีรษะเป็นท้องฟ้าสีดำคราม ราวกับท้องฟ้าในยามราตรี
เพียงแต่ว่าตำแหน่งตรงกลางท้องฟ้านั้น เกิดเป็นรูหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
ลำแสงสาดส่องจากส่วนกลางกระทบเข้าที่ร่างของฉู่หลิวเยว่
และด้วยลำแสงนี้ ทำให้ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบข้างอย่างชัดเจนได้
ไม่มีทิวทัศน์
สิ่งที่นางมองเห็นมีเพียงแค่ดินแดนที่เป็นสีดำเท่านั้น
นอกจากพื้นที่แห่งนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอยู่เลย
นางสามารถมองเห็นในรัศมีร้อยลี้เท่านั้น หากไกลกว่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงซ่อนอยู่ในความมืด ยากที่จะเข้าใกล้และคาดเดา
“หรงซิว?”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนขึ้นเสียงเบา
ก่อนที่นางจะเข้ามาด้านใน นางเหมือนเห็นว่าหรงซิวได้ติดตามนางมาอย่างใกล้ชิด
แต่ตอนนี้เหมือนว่านางกับเขาจะไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนขึ้นอีกสองครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
เดิมทีนางก็สามารถคาดเดาสิ่งนี้ได้อยู่แล้ว ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก และไม่ได้สนใจอันใดมาก
แต่ว่า…ถวนจื่อเล่า?
“ถวนจื่อ? ถวนจื่อ?”
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนหาถวนจื่ออยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเช่นกัน
รอบข้างเงียบสนิท
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดกรอด
ถวนจื่อเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนาง มีจิตเชื่อมถึงกัน ต่อให้อยู่ในระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสถึงกันได้เช่นเดิม
แต่ในตอนนี้นางไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของถวนจื่อเลยแม้แต่น้อย
*เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย สำนวน หมายถึง คนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามทำงาน แต่กลับหวังที่จะได้ผลงานที่ดี หรือได้สิ่งตอบแทนดีๆ อย่างลมๆ แล้งๆ ซึ่งมันไม่มีวันเป็นไปได้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...