………………..
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองทางน้องแปดอย่างครุ่นคิด
“ทะเลาะกับเยี่ยนชิงอีกแล้วหรือ?”
“เปล่าเสียหน่อย!”
น้องแปดรีบโต้เถียงในทันที น้ำเสียงสูงขึ้นหลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจแล้ว
ทะเลาะกันจริงๆ ด้วย
ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกันจะต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อยไป
ปกติแล้วน้องแปดเป็นคนที่มีเสน่ห์ยั่วยวน นอกจากผู้พิทักษ์สิบสามเยว่แล้ว เมื่อพูดคุยกับคนอื่นนางจะใช้น้ำเสียงนุ่มนวล
แต่ตอนนี้เมื่อพูดคุยกับเยี่ยนชิงก็ไม่รู้ว่ากินอันใดผิดสำแดงหรือไม่ นางมักจะหงุดหงิดง่ายมาก
ตามหลักการแล้ว เยี่ยนชิงที่เป็นแค่ก้อนน้ำแข็ง เย็นชาจนสามารถแช่แข็งคนได้ แต่เมื่ออยู่กับน้องแปดเขามักจะเป็นฝ่ายยอมเสมอ…
ไม่รู้จริงๆ ว่าเยี่ยนชิงไปล่วงเกินอันใดนางไว้กันแน่
ฉู่หลิวเยว่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
“น้องแปด แม่นางที่โกรธบ่อยๆ มักจะแก่เร็วนะ”
น้องแปดเบิกตากว้างอ้าปากค้าง แล้วรีบจับใบหน้าของตนเอง
แย่แล้ว!
ช่วงนี้นางโกรธอยู่เป็นประจำเลย คงไม่มีริ้วรอยขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่?
“ข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน!”
นางทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ แล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป
ผู้ชายจะนับเป็นอันใดได้ ความงามสิสำคัญที่สุด!
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป แต่คนบางคนก็ยังคงถูกโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก็จอดได้
“เจ้ารู้จักสำนักกระบี่ทมิฬนี้มากน้อยเท่าใด?”
หรงซิวหันไปมองทางซานซาน
“นายท่านที่พวกเขาพูดถึง เจ้าเคยเจอหรือไม่?”
ซานซานมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาก จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า
“จวนสำนักกระบี่ทมิฬนั้นคุ้มกันเข้มงวดเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่ข้าไป จะต้องผ่านการตรวจสอบหลายด่าน อีกทั้งนายท่านของพวกเขาก็ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง ทุกครั้งคนที่มารับคือ มั่วอวิ๋น…เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งเขามีตำแหน่งเป็นรองประมุขสำนักกระบี่ทมิฬ ฐานะของเขาสูงส่งมาก โดยทั่วไปแล้วจะรับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ที่อยู่ภายในสำนักกระบี่ทมิฬแห่งนี้”
มั่วอวิ๋น…
หรงซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ในแววตามีประกายดำมืดพาดผ่าน
“เจ้าคิดอันใดขึ้นมาได้งั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น
หรงซิวชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหน้า
“ข้าเพียงแค่คาดเดาอันใดบางอย่างได้เท่านั้น แต่ว่ายังไม่แน่ใจ รอให้เข้าใจมากกว่านี้ก่อน ค่อยบอกให้เจ้ารู้ก็ยังไม่สาย”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขาจะไม่ต่อสู้ถ้ายังไม่รู้สึกมั่นใจ สำหรับเรื่องที่ยังมีข้อสงสัยอยู่เช่นนี้ นางก็ยังจะไม่ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น และไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ
สิ่งที่นางอยากรู้ในตอนนี้ก็คือ สำนักกระบี่ทมิฬทุ่มเทแรงกายใจต่อเกาะดอกท้อเช่นนี้ เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
เขาต้องการจะยึดสถานที่แห่งนี้เป็นของตนเองใช่หรือไม่?
ต่อให้ที่แห่งนี้จะมีผาธารใส แต่มันก็ไม่ใช่ของของเขา ถ้าเขาอยู่ที่นี่แล้วจะมีประโยชน์อันใด?
เพียงเพราะสมุนไพรและโอสถเหล่านี้หรือ?
ไม่น่าใช่
เพียงเพื่อพลังแห่งสวรรค์และโลกที่เต็มเปี่ยมในที่แห่งนี้หรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“หลังจากคนสำนักกระบี่ทมิฬมาที่นี่แล้ว จำนวนของสมาชิกสำนักเพิ่มขึ้นเยอะหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า
“หากพูดตามตรงแล้ว ไม่นับว่าเยอะ ไม่ว่าใครที่ต้องการเข้าร่วมสำนักกระบี่ทมิฬ พวกเขาต้องใช้เวลาทดสอบหนึ่งเดือน คนที่ผ่านการประเมินนี้เท่านั้นถึงจะสามารถอยู่ต่อได้ คนที่ไม่ผ่านการทดสอบ ก็ถือว่าถูกคัดออก จากที่ข้ารู้มานั้น คนที่ตกรอบมีเป็นจำนวนมากจนน่าตกใจ”
“แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น คนที่ต้องการจะเข้ามาสมัครก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง”
นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาอยู่เช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วสำนักกระบี่ทมิฬก็นับว่ามีอำนาจสูงที่สุดในท่าเรือดอกท้อ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...