………………..
รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่หดเล็กลง!
นางลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ!
หรงซิวพูดได้ถูกต้อง โล่สีดำอันนั้นนางได้มาจากท่าเรือดอกท้อแห่งนี้จริงๆ
ตอนนั้นนางแค่รู้สึกว่าของชิ้นนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และสะดวกต่อการใช้งาน
แต่หลังจากนั้น นางถึงพบว่าของชิ้นนี้ใช้งานได้ดีกว่าที่นางคิดเสียอีก
ไม่ ไม่เพียงแค่นั้น
จนกระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่า ขีดจำกัดของโล่สีดำชิ้นนี้อยู่ที่ตรงไหน
ระหว่างนี้นางได้เจอเหตุการณ์พลิกผันและเรื่องยุ่งยากมากมาย และยังได้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายตั้งไม่รู้กี่ครั้ง
แต่ตราบใดที่นางหยิบโล่สีดำชิ้นนี้ออกมา นางก็ไม่เคยพลาดท่า
ที่นางได้รับบาดเจ็บ สาเหตุหลักก็เป็นเพราะความอดทนของร่างกายนางอ่อนแอเกินไปเอง
แม้ว่าพลังโจมตีจะถูกโล่สีดำนั้นจะลดทอนลงไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังถ่ายทอดพลังโจมตีมาสู่นาง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโล่สีดำชิ้นนั้นไม่ดี
เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบ มันไม่เคยแตกหักมาก่อนเลย
แม้แต่พลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดก็ทิ้งเอาไว้ได้แค่เพียงร่องรอยไม่กี่สายเท่านั้น
แตกหัก?
เหมือนว่าจะไม่มีอยู่จริง
ครั้งหนึ่งนางเคยถามองค์ปฐมกษัตริย์เกี่ยวกับโล่สีดำชิ้นนี้ แต่คนที่รอบรู้อย่างองค์ปฐมกษัตริย์ก็ไม่สามารถอธิบายสาเหตุว่าเหตุใดมันถึงแข็งแกร่งเช่นนี้
เมื่อเวลาผ่านมา ฉู่หลิวเยว่จึงเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้ในใจ
อันที่จริงนางเกือบลืมไปแล้วว่านางได้โล่สีดำชิ้นนี้มาจากท่าเรือดอกท้อ!
ไม่ว่าจะเป็นโล่สีดำอันนั้น หรือว่าผาธารใส สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ที่ที่จะสามารถพบเจอได้ในสถานที่ที่ธรรมดา
หรือว่า…
ทันใดนั้นภายในสมองของฉู่หลิวเยว่ต้องมีประกายสีขาวสว่างวาบออกมา
นางกุมมือของหรงซิวไว้แล้วถามว่า
“ที่คนของสำนักกระบี่ทมิฬยังอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าเขาก็ค้นพบเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?”
หรงซิวหยุดชะงักไปชั่วคราว
“พูดยาก”
ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เผชิญหน้ากัน สถานการณ์เป็นอย่างใดนั้นก็ยังไม่แน่ชัด
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากของตนเอง
“รอให้ซานซานกลับมาจากสำนักกระบี่ทมิฬแล้วค่อยว่ากัน”
…
เวลาสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ช่วงเช้าวันหนึ่ง ซานซานนำหญ้าผสานวิญญาณไปยังสำนักกระบี่ทมิฬด้วยตัวคนเดียว
สำนักกระบี่ทมิฬมีการคุ้มกันที่เข้มงวด ไม่เคยอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าออกได้ตามใจชอบ
ดังนั้นทุกครั้งที่ซานซานมาส่งของ เขาก็จะไปด้วยตัวคนเดียวและไม่มีผู้ติดตามตามไปด้วย
ยังดีที่เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก ฉู่หลิวเยว่นำหญ้าผสานวิญญาณมาเพิ่มให้แก่เขาแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้เป็นห่วงมากเท่าใด พวกเขาล้วนจัดการอยู่กับเรื่องของตัวเอง
ตอนที่เฉินอีมาหาฉู่หลิวเยว่ ตอนนั้นนางกำลังดูใบเทียบยาอยู่
“นายท่าน ข้าว่าจะพาสือซานออกไปด้านนอกก่อน”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมา
“วันนี้หรือ? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ไม่มีอันใด สือซานเตรียมตัวจะทะลวงด่าน ข้ากลัวว่าจะทำให้จวนเสียหาย ดังนั้นจึงอยากจะพาเขาออกไปด้านนอก เพื่อหาสถานที่โล่งกว้าง”
ฉู่หลิวเยว่ก็นึกขึ้นมาได้ในทันที
สือซานเตรียมตัวจะทะลวงด่านสู่จอมยุทธระดับเจ็ด
ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ด่านพลังจิตวั่งเสิ่นจะต้องทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากแน่นอน
แม้ว่าจวนนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถทนต่อแรงโจมตีของทัณฑ์สวรรค์ได้
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
นางเพียงแค่อยากดูเท่านั้น ว่าพรสวรรค์และฝีมือของสือซานจะอยู่ในระดับไหนแล้ว
เฉินอีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินใจของนาง เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
“ขอรับ”
…
ท่าเรือดอกท้อมียอดเขาสูงอยู่เป็นจำนวนมาก
ฉู่หลิวเยว่และเฉินอีพาสือซานไปค้นหายอดเขาที่ห่างไกลและสงบเงียบ
เหมือนว่าหรงซิวกำลังปรึกษาหารือกับเยี่ยนชิงด้วยเรื่องบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้ติดตามมาด้วย
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองโดยรอบ



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...