ลายเมฆานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับราชวงศ์เดียวกัน ด้วยสถานะที่โดดเด่นเช่นนี้ ลวดลายของเมฆานั้นมักจะถูกปักบนเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่นั้นก็มิถือว่าเป็นสิ่งใดทั้งนั้น
สิ่งสำคัญคือลวดลายเมฆาบนแขนเสื้อและชายผ้าของหรงซิวแตกต่างจากลายเมฆาของคนธรรมดาทั่วไป
ว่ากันว่าเป็นลายเมฆา แท้จริงแล้วลายปักซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าหากว่ามองจากอีกมุมหนึ่ง มันกลับเหมือนดอกท้อบานสะพรั่งมากกว่า
คราแรกที่ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็น นางยังเคยถามหรงซิวด้วยซ้ำ
ตอนนั้นหรงซิวกล่าวว่าเขาเป็นผู้วาดลวดลายเมฆานั้นด้วยตัวเอง และให้คนปักขึ้นมาเป็นพิเศษ
และบนโลกใบนี้ก็มีอยู่ตระกูลเดียว
ทว่า…นางคิดไม่ถึงว่าลวดลายเมฆาดังกล่าวจะปรากฏบนอาภรณ์ของบุคคลอื่น
ถึงแม้ฉู่หลิวเยว่ต้องการจะถือว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะนางสามารถเห็นชัดเจนว่าลวดลายนี้เหมือนกันทุกประการ
นางกระตุกคิ้วแล้วถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับองค์หญิงใหญ่นี้น่าดู”
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เคยไปแคว้นซิงหลัวสักหน่อย เพียงแต่ว่าองค์หญิงใหญ่เลื่องชื่อลือนามมากต่างหาก”
ซือหยางบุ้ยปาก
“เจ้าก็เห็นนี่ว่ารูปโฉมสะคราญเยี่ยงนี้ กิริยาสง่างามเช่นนี้ ช่างหายากจริงๆ ที่สำคัญคือ นางมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุด ข้าได้ยินมาว่าปีนี้นางยังอายุไม่ถึงสิบหกก็สามารถบรรลุเป็นแพทย์ขั้นสามได้แล้ว เพียงแค่ก้าวไปอีกขั้น นางก็จะได้เป็นหมอเทวดาที่แท้จริงแล้ว! องค์หญิงองค์นี้ เป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวแห่งแคว้นซิงหลัว ประดุจดั่งอัญมณีล่ำค่า หลายปีมานี้ นางยิ่งมีชื่อเสียงขจรไกล ไม่รู้ว่ามีคนมาตกหลงรักนางมากมายเท่าไหร่ ทว่า องค์หญิงใหญ่กลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ผู้ที่มาสู่ขออภิเษกล้วนถูกปฏิเสธไปทั้งสิ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าชายใดจะได้ครองใจหญิงงามผู้นี้!”
ฉู่หลิวเยว่มองรอบๆ ไปเรื่อยเปื่อย และเป็นจริงดั่งคาด เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายเห็นซือถูซิงเฉิน ดวงตาของพวกเขาต่างก็เป็นประกายลุกวาวขึ้นมา
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วระงับความรู้สึกแปลกๆ ในใจของนางไว้
ทันใดนั้นเอง ซุนจ้งเหยียนก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวต้อนรับทักทายแขกอีกครั้ง
“พี่เฉิงหัน!”
หัวหน้าผู้ที่พาสำนักไท่เหยี่ยนมางานก็เป็นชายชราที่มีผมสีดอกเลาและมีราศีของผู้เป็นเซียนเช่นกัน
เมื่อเห็นซุนจ้งเหยียน รอยยิ้มปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“พี่จ้งเหยียน นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน ท่านดูดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ! พี่เฉิงหันชมเกินไปแล้ว! ท่านมาจากแดนไกล คงลำบากมาก เชิญๆ!”
เฉิงหันโบกมือเพื่อให้นักเรียนที่อยู่ด้านหลังเข้าไปนั่งที่ประจำสำนัก ส่วนตัวเขาเองยังอยู่คุยกับซุนจ้งเหยียนอีกสองสามประโยค
“ข้าไม่เห็นเยี่ยเหล่ามาหลายปีแล้ว แม้กระทั่งอยากเจอเขาในงานสมาคมเยาวชนครั้งนี้ยังเป็นการยากเลย!”
“ท่านอาจารย์ลุงก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร พี่เฉิงหันเองก็ทราบดี”
“เยี่ยเหล่าเอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ คงใกล้จะบรรลุขั้นแล้วกระมัง”
“ฮ่าๆ ท่านอาจารย์ลุงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็พูดยากเช่นกัน”
“อันที่จริง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของงานสมาคมเยาวชน ก็มีพี่จ้งเหยียนเป็นผู้รับผิดชอบสำนักเทียนลู่มาโดยตลอด เยี่ยเหล่าผู้สง่างาม กลับเป็นหัวหน้าที่ไม่เอาการเอางาน เกรงว่าต่อไป…”
ซุนจ้งเหยียนหัวเราะเพื่อตัดบทของเขา
“พี่เฉิงหัน อนาคตเรื่องนี้เอาแน่เอานอนมิได้ ทุกคนต่างรอคอยมานานแล้ว เราเริ่มกันเลยดีกว่าไหม”
เฉิงหันชะงักค้าง แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
“ได้ๆ คิดดูแล้วพวกเด็กๆ คงจะรอไม่ไหวแล้วล่ะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินไปนั่งที่ตำแหน่งของสำนักไท่เหยี่ยนทันที
ถึงแม้ซุนจ้งเหยียนยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าดวงตาของเขากลับเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
แท้จริงฝูอวิ๋นซานหัวหน้าสำนักหนานเฟิงและเฉิงหันหัวหน้าสำนักไท่เหยี่ยนล้วนอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ส่วนเยี่ยจือถิงแก่กว่าพวกเขาไปอีกหนึ่งรุ่น
ฝูอวิ๋นซานไม่มีอะไร ทว่าเฉิงหันผู้นี้ อาศัยการบรรลุขั้นยุทธ์อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นคนที่บ้าคลั่งมากขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์