ณ เมืองหลวงตี้ตู
ยามสารทฤดูที่อากาศกำลังเย็นสบาย
งานสมาคมเยาวชนหรืองานชุมนุมยุวชนผู้ภาคภูมิประจำปีได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความคาดหวังที่กระตือรือร้นของทุกคน
งานสมาคมเยาวชนจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสามแคว้น และมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันสูง
ผู้ที่สามารถมาที่นี่ได้คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆ ของแต่ละแคว้น
ดังนั้นในงานสมาคมเยาวชนจัดขึ้นในครั้งนี้ ทุกคนไม่เพียงแต่จะได้เห็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ทั้งยังได้ชมการแข่งขันของยุวชนที่มีพรสวรรค์เหล่านี้อีกด้วย
นี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างสามสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการประลองกันระหว่างสามแคว้นอีกด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ได้จัดขึ้นที่แคว้นเย่าเฉิน ศิษย์สำนักเทียนลู่ทั้งรุ่นน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยพลังและความตั้งใจที่จะทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในงานสมาคมเยาวชน
ในช่วงเช้าตรู่ของภายในสำนัก นอกจากผู้ที่ต้องอยู่เฝ้าสำนักจำนวนเล็กน้อย คนที่เหลือส่วนใหญ่มารวมตัวกันเพื่อไปที่ลานจยาหนานในเมืองหลวงตี้ตู
ลานจยาหนานเป็นหนึ่งในลานที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งปฐมกษัตริย์แคว้นเย่าเฉินเป็นผู้สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
ดังนั้นการแข่งขันที่สำคัญมากมายในเมืองหลวงมักจะจัดขึ้นที่นี่
แน่นอนว่างานสมาคมเยาวชนในครั้งนี้ก็เลือกที่จะจัดขึ้นที่นี่เหมือนกัน
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่และหลายคนในสำนักมาถึงพร้อมกันก็ถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่พิเศษทันที
หลังจากที่นั่งลงในที่ของตนเองแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงมีโอกาสได้มองดูลานจยาหนานอันกว้างใหญ่ชัดๆ เต็มตา
ลานนี้มีลักษณะเป็นวงกลม โดยมีสนามประลองหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยที่นั่งเป็นวงกลมที่เพิ่มชั้นลดหลั่นขึ้นไป
เมื่อมองขึ้นไปแล้ว อย่างน้อยน่าจะจุคนได้ประมาณหนึ่งหมื่นคน
เวลานี้ที่นั่งต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ทั้งบริเวณลานมีความคึกคัก และมีการพูดคุยและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่นั่งของพวกฉู่หลิวเยว่ไม่ได้อยู่บนขอบลานจยาหนาน กลับอยู่ข้างสนามประลอง
ฉู่หลิวเยว่เพ่งมองตำแหน่งทางด้านทิศตะวันออกที่วางเก้าอี้สีม่วงทองเอาไว้ กระนั้นทิศทางอื่นอีกสามทิศมีเพียงเก้าอี้ไม้จัดวางไว้เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าที่นั่งสีม่วงทองสงวนไว้สำหรับจยาเหวินตี้
โดยทั่วไปแล้ว จยาเหวินตี้จะไม่เสด็จมาในรอบแรก จะเสด็จมาเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศเท่านั้น
การที่นำพระที่นั่งมาวางไว้ตอนนี้ ก็เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อจยาเหวินตี้
ทุกคนต่างทราบดีว่าจยาเหวินตี้จะไม่เสด็จมาในวันแรกแน่นอน ดังนั้นบรรยากาศทั่วทั้งจลานจยาหนานจึงอบอุ่นและผ่อนคลายมาก
ส่วนเก้าอี้ที่วางอยู่ในอีกสามพื้นที่นั้นสงวนไว้สำหรับนักเรียนของแต่ละสำนักอย่างชัดเจน
เก้าอี้ในสองแถวแรกมีไว้สำหรับผู้อาวุโสและอาจารย์ของแต่ละสำนักนั่ง
นับจากแถวที่สามเป็นต้นไปเป็นของบรรดาลูกศิษย์ของแต่ละสำนัก
และลำดับนี้จากด้านหน้าไปด้านหลังจะจัดเรียงตามระดับชั้น
เนื่องจากพวกฉู่หลิวเยว่เป็นนักเรียนใหม่ ดังนั้นจึงได้นั่งด้านหลังสุดเป็นธรรมดา
ทว่าที่นั่งของนักเรียนใหม่ก็มีความพิเศษมากเช่นกัน
หมอเทวดานั่งด้านหน้าสุด ในขณะที่ผู้ฝึกยุทธ์นั่งที่ด้านหลังสุด
ส่วนฉู่หลิวเยว่นั่งตรงกลางในส่วนของปรมาจารย์
และมีชายหนุ่มหนึ่งคนนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าสุด
ชายหนุ่มดูอายุไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปี มีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวที่ขาวมากเกินไปของเขา และดวงตาที่เปล่งประกายดูสดใส
สีหน้าของเขาดูเย่อหยิ่ง ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากรอบกายเขา
ไม่ต้องคิดไปไกลก็รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเมิ่งเจ๋อเซียว ศิษย์หมอเทวดาคนใหม่ผู้มีพรสวรรค์ความสามารถมากที่สุดในรุ่น
เมิ่งเจ๋อเซียวไม่ใช่ชาวเมืองหลวงตี้ตู เขามีพื้นเพธรรมดา ทว่ากลับมีความสามารถมากและได้รับการยกย่องอย่างสูงในสำนัก
ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่ขยันมาก หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เข้าเรียนในสำนักมาตั้งนาน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอเขา
แน่นอนว่านักเรียนหมอเทวดาเหล่านั้นต่างมีความทะนงตนอย่างมาก การฝึกฝนของพวกเขาค่อนข้างแตกต่าง การพบเจอตามปกติจึงมิใช่เรื่องง่าย
ดูเหมือนเมิ่งเจ๋อเซียวที่กำลังมองสนามประลองเงียบๆ จะรู้ตัวว่านางกำลังจ้องมองอยู่ เขาจึงหันหลังมามอง
ทั้งสองมองหน้ากัน ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าทักทายอย่างสุภาพ แต่ท่าทางของเมิ่งเจ๋อเซียวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…มีการหยั่งเชิงเล็กน้อย?
ทางด้านฉู่หลิวเยว่เองก็ตกตะลึงที่เห็นเมิ่งเจ๋อเซียวหันกลับมามอง
“นี่ หลิวเยว่ เจ้ารู้จักเมิ่งเจ๋อเซียวด้วยหรือ”
ซือหยางที่อยู่ข้างๆ อดถามมิได้
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่รู้จัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์