หลังพระกระยาหารมื้อค่ำสิ้นสุดลง จยาเหวินตี้ก็ลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะออกไป
ฮองเฮาแปลกใจเล็กน้อย
“ฝ่าบาท…คืนนี้ไม่ค้างที่ตำหนักหม่อมฉันหรือเพคะ”
จยาเหวินตี้มีสีหน้าเย็นชา
“ย่างเข้าเดือนสิบแล้ว”
หัวใจของฮองเฮาเต้นตึกตัก แล้วเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้นมา
เดือนสิบ
แม้สำหรับผู้อื่นดูเหมือนจะไม่มีอะไร ทว่าสำหรับจยาเหวินตี้กลับเป็นช่วงเวลาที่พิเศษอย่างยิ่ง
เพราะว่า…พระสนมหวั่นเฟยสิ้นพระชนม์ในเดือนสิบพอดี
ทุกปีของเดือนสิบ จยาเหวินตี้จะดูโศกเศร้าเงียบขรึม และเขาจะไม่ไปอยู่กับสนมนางอื่นที่ตำหนักใดๆ
มิใช่ว่านางไม่รู้กฎข้อนี้ แต่ตอนนี้จยาเหวินตี้ได้ให้สัญญาว่าจะปล่อยรัชทายาทออกไป และสัญญาว่าจะหาหมอเทวดาให้องค์หญิงสี่ ดังนั้นจึงทำให้นางดีใจมากเกินไปจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาททรงประทานอภัยด้วยเพคะ” ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น แล้วเก็บซ่อนความเคียดแค้นในดวงตาจนมิด
จยาเหวินตี้โบกมือ
“เจ้าไปดูแลเจินเจินเถิด”
เมื่อกล่าวจบก็ยกเท้าก้าวออกไป
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่จึงเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
เหล่าข้าราชบริพารที่คอยรับใช้อยู่รอบๆ ต่างก้มศีรษะและโน้มเอวลงมา ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวจะเป็นการยั่วโมโหฮองเฮาได้
ในวังหลังนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่า ถึงแม้ภายนอกฮองเฮาจะเป็นเจ้านายฝ่ายหญิงที่กุมอำนาจหกตำหนัก มีสถานะและตำแหน่งสูงสุด ทว่าในความเป็นจริง นางไม่เคยเทียบพระสนมหวั่นเฟยที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วได้เลย
ในพระทัยของฝ่าบาทมีตำแหน่งเดียวที่ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่นางได้สักคน
รวมถึงฮองเฮาด้วยเช่นกัน
ถ้าหากเป็นยามปกตินางไม่สน แต่วันนี้มันเหมือนกับเป็นการตบหน้าฮองเฮาต่อหน้าธารกำนัล!
หลังจากทนนิ่งเงียบอัดอั้นตันใจอยู่นาน ในที่สุดฮองเฮาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับคืนสู่ศักดิ์ศรีฮองเฮาที่สง่าสงามสูงส่ง
“ข้าจะไปเยี่ยมองค์หญิงสี่”
“เพคะ!”
“…”
ทันทีที่นางมาถึงตำหนักของหรงเจิน ฮองเฮาก็เห็นกลุ่มข้าหลวงในวังกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างนอก
พวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าเจ็บปวดราวกับกำลังได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าปริปากสักคน
ในขณะที่หรงเจินนั่งอยู่ตรงปากประตูทางเข้าห้องบรรทม พร้อมกับมองคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าดุร้าย
เมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาเสด็จมาก็มีร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของนาง และนางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เสด็จแม่มาได้อย่างไรเพคะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น
“เสด็จพ่อของเจ้าให้ข้ามาดูเจ้า แล้วนี่เจ้ากำลังทำอะไร”
นางสำรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมา
หรงเจินตะลีตะลานพูดว่า
“ไม่มีอะไรนี่เพคะ พวกมันทำผิด ลูกก็เลยลงโทษนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองเพคะ”
ฮองเฮากลับไม่เชื่อ จากนั้นก็หันไปมองทางพวกข้าหลวงในวัง
“พวกเจ้าลุกขึ้นให้หมด”
คนที่อยู่ข้างหน้าพยายามลุกขึ้น เพียงแค่ขยับนิดเดียวกลับก็ล้มลงกับพื้นแล้ว จากนั้นก็นั่งกอดเข่าคร่ำครวญ
“ลูกรู้ว่าเสด็จแม่ดีกับลูกมากที่สุด”
แม้จะยังมีความโกรธหลงเหลืออยู่บ้างในใจ สุดท้ายนางก็ยังคงเอ็นดูพระธิดาของตนอยู่ดี ดังนั้นจึงลูบไล้เรือนผมผู้เป็นพระธิดาเบาๆ แล้วกล่อมว่า
“หยวนตันเสียหาย มิใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา เจ้าดูฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นสิ ชีพจรพิการตั้งแต่กำเนิด ตอนนี้ก็รักษาหายดีแล้วมิใช่หรือ”
เมื่อหรงเจินได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
“จริงด้วย! เสด็จแม่ เราลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร”
นางเขย่าแขนฮองเฮาด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนั้นหมอเทวดาทั้งแคว้นเย่าเฉินต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าไม่มีทางรักษาชีพจรให้กับฉู่หลิวเยว่มิใช่หรือ ทว่าต่อมา นางไม่เพียงแต่หายดี ทั้งยังกลายเป็นยอดอัจฉริยะอีกด้วย! เสด็จแม่ ลูกว่าฉู่หลิวเยว่จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนเพคะ!”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าหมายความว่า…”
“เราเรียกตัวฉู่หลิวเยว่มาถามว่านางหายได้อย่างไรดีหรือไม่เพคะ ลูกเดาว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต้องเป็นผู้มีอำนาจและลึกลับ ให้นางเรียกคนผู้นั้นออกมา มิแน่ว่าอาจจะรักษาลูกได้เพคะ!”
“ที่เจ้าพูดก็มิใช่ว่าไร้เหตุผล…แต่ก่อนหน้านี้ไม่คาดคิดว่า” ฮองเฮาครุ่นคิดครู่หนึ่ง “แต่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับฉู่หลิวเยว่ไม่ดีนัก นางอาจจะปฏิเสธเรื่องนี้ก็ได้”
หรงเจินกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“หากนางไม่ยอมแล้วอย่างไร เป็นแค่ลูกหัวหน้าองครักษ์ จะไม่ฟังคำสั่งพวกเราเลยหรือเพคะ”
ฮองเฮากลับเกิดความลังเลเล็กน้อย
นางจำได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉู่หลิวเยว่และเจินเป่าเก๋อนั้นไม่ธรรมดา…
“ควรระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มากขึ้นดีกว่า พรุ่งนี้มีงานสมาคมเยาวชน ทำไมเจ้าไม่ไปกับข้าแล้วเจรจาเรื่องนี้กับนางล่ะ ถ้านางยินดีช่วยย่อมทางที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล่ะก็…”
หรงเจินแสยะยิ้มเย็นชา
“นางปฏิเสธได้ซะที่ไหน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...