ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 202

การประลองสองรอบแรกพวกเขาแพ้กันถึงสองครั้งติด หลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในสำนักไท่เหยี่ยนมาก่อน

ยามอาจารย์ผู้ตัดสินประกาศว่าหลิ่วอินอินจากสำนักหนานเฟิงชนะ บรรยากาศทางฝั่งสำนักไท่เหยี่ยนพลันเย็นยะเยือกราวกับแช่แข็ง

รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิงหานรักษาต่อไปไม่ได้ในที่สุด ไอปราณโดยรอบเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง

ศิษย์สำนักที่อยู่เบื้องหลังยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

พวกเขาหลงระเริงไปกับความรุ่งโรจน์เมื่อปีที่แล้ว มิได้คาดคิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้?

แต่วิธีการจับฉลากก็เป็นวิธีที่ยุติธรรมมาก ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเล่นอุบายได้ ดังนั้นแม้แต่สาเหตุความพ่ายแพ้พวกเขายังหาไม่ได้

ซือถูซิงเฉินเห็นดังนั้นก็กระซิบปลอบใจ :

“อาจารย์ งานสมาคมยาวชนเพิ่งเริ่มเอง พวกเราก็แค่โชคไม่ดีเท่านั้น ผู้ที่มีฝีมือโดยแท้จริงอยู่เบื้องหลังต่างหาก อย่างไรก็นับว่าเป็นเรื่องดี”

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ในที่สุดสีหน้าเฉิงหานก็ดูดีขึ้นมาบ้าง

ใช่แล้ว

พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเสียหน่อย?

ลำพังแค่ซือถูซิงเฉินคนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะชนะมากน้อยเพียงใด!

คราวนี้เขาตั้งความหวังกับนางไว้สูงมากโดยคิดว่านางจะสามารถคว้าหมอเทวดาอันดับหนึ่งมาครองได้สำเร็จ!

“ไม่ต้องห่วง อาจารย์รู้แก่ใจ”

ในบรรดาการประลองผู้ฝึกยุทธ์ ปรมาจารย์ และหมอเทวดา ผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งมีความสำคัญน้อยที่สุด

แม้พวกเขาจะเสียเปรียบในการประลองผู้ฝึกยุทธ์ แต่ตราบใดที่คว้าอันดับหนึ่งหมอเทวดามาครอง ก็สามารถลบล้างความอัปยศนี้ได้

“พวกเรารออย่างสงบก็พอ”

ซือถูซิงเฉินพยักหน้า

…..

การประลองผู้ฝึกยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไป

คราแรกฉู่หลิวเยว่ยังกังวลว่าชื่อตัวเองจะถูกจับขึ้นมาอีกรอบ ทว่าโชคดีที่ผู้เข้าร่วมประลองผู้ฝึกยุทธ์มีจำนวนมาก ดังนั้นโอกาสที่นางจะถูกจับขึ้นมาอีกครั้งจึงไม่ได้สูงนัก

อันที่จริงแล้วพอถึงพลบค่ำ งานสมาคมยาวชนวันแรกก็เสร็จสิ้นลง นางจึงไม่ได้ขึ้นเวทีการประลองเป็นครั้งที่สอง

ด้วยเหตุนี้นางจึงมีเวลาฝึกปราณได้อย่างสบายใจมากขึ้น

การประลองตลอดหนึ่งวันสิ้นสุดลง สามสำนักใหญ่มีทั้งแพ้มีทั้งชนะ พอใคร่ครวญดูคร่าวๆ สำนักที่ชนะบ่อยที่สุดเห็นทีจะเป็นสำนักเทียนลู่ที่ไม่ค่อยเป็นที่น่าจับตามองในตอนแรก

ในทางกลับกัน สำนักที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าอย่างสำนักไท่เหยี่ยนกลับพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดก็เกือบแพ้ยับเยิน

บ้างดีใจบ้างก็ทุกข์ใจ

ปกติการประลองในงานสมาคมยาวชนจัดติดต่อกันห้าวัน

สามวันแรกเป็นการประลองผู้ฝึกยุทธ์ วันที่สี่คือปรมาจารย์ก่อนจะเป็นหมอเทวดาอีกหนึ่งวันสุดท้าย

วันแรก ผู้ฝึกยุทธ์เกือบครึ่งก็ขึ้นเวทีการประลองเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คนไม่ได้ขึ้นเวทีการประลองรวมไปถึงผู้ที่ชนะไปแล้ว

หลังจากจบการแข่งขันชั่วคราว สามสำนักใหญ่ต่างก็พาลูกศิษย์สำนักตัวเองกลับไปพักผ่อนหย่อนใจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

ฉู่หลิวเยว่ก็กลับสำนักพร้อมทุกคน

….

นางเดินบนสะพานแม่น้ำชวงชิงและมองไปที่ลานอี๋เฟิงโดยแทบจะไม่รู้ตัว

รั้วในลานอี๋เฟิงถูกปิด ประตูใหญ่ลงกลอน ภายในลานก็ไม่พบคนอยู่เลย

ไม่รู้ว่าหรงซิวกำลังง่วนทำอันใดอยู่…

ฉู่หลิวเยว่นึกถึงลายเมฆตรงชายเสื้อซือถูซิงเฉืนขึ้นมาได้ก็เลิกคิ้ว

นางเกือบลืมไปแล้วว่าองค์ชายหลี่หวางไม่อยู่เมืองหลวงมาหลายปีแล้วและเก็บตัว มิอาจรู้ว่าซ่อนความลับมากมายไว้กับตัวมากเพียงใด

นางเก็บสายตาแล้วเดินไปที่พักอาศัยของตน

ขณะกำลังเดินไปถึงลานสำนัก นางก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เกิดความระแวงในใจอย่างยิ่ง!

นางกวาดสายตามองไปรอบทิศทาง ก้าวถอยหลังโดยไม่มีความลังเลใดๆ คิดจะหนีไปโดยพลัน!

แต่อย่างไรก็ตามนางยังไม่ทันหันตัวกลับไปก็เห็นเงาดำเงาหนึ่งเข้ามาประชิดอย่างไว! คว้าข้อมือนางไว้แล้วมัดด้วยเชือกอย่างรวดเร็ว!

ลมปราณอันตรายจนฉู่หลิวเยว่ใจเต้นรัว!

คนผู้นี้พละกำลังแก่กล้ายิ่งนัก!

ตอนนี้นางไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ด้วยเป็นอันขาด!

ไม่รอจนกว่านางจะเงยหน้ามองใบหน้าฝ่ายตรงข้ามให้ชัด คนผู้นั้นก็พานางไปที่หน้าประตูทันที!

ตอนนางออกไปก็ได้ลงกลอนประตูไว้ดีแล้ว ทว่าฉันพลันนั้นก็ถูกเปิดมาจากข้างใน!

คนที่อยู่เบื้องหลังผลักฉู่หลิวเยว่เข้าไปอย่างแรง!

“องค์หญิงสี่มีอันใดก็รับสั่งมาได้เลยเพคะ”

“ข้ามาหาเจ้าด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องๆหนึ่ง”

หรงเจินเชิดคางขึ้นหยิ่งยโสกว่าที่เคย

“ชีพจรดั้งเดิมของเจ้าไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด แต่จู่ๆ ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติถึงขนาดกลายเป็นอัจฉริยะ…เจ้า เจ้าพึ่งสิ่งใดกัน?”

ฉู่หลิวเยว่เข้าใจโดยธรรมชาติ

มาเพราะเรื่องนี้อย่างที่คิดไว้จริงๆ

ก่อนหน้านี้นางเดาว่าหรงเจินอาจจะเริ่มจัดการที่นาง ไม่คิดว่ากว่าจะมาก็ใช้เวลาไปเสียนาน

“ขอเพียงเจ้าบอกข้าว่าใครช่วยเจ้า ช่วยข้าฟื้นฟูหยวนตัน ข้าองค์หญิงสามารถปล่อยวางเรื่องราวในอดีตได้”

น้ำเสียงหรงเจินหยิ่งทะนงราวกับให้ทาน

ฉู่หลิวเยว่มองนางอย่างเงียบๆ

หรงเจินถูกนางมองจนไม่สบอารมณ์ ขึ้นเสียงพูด :

“เจ้ามองอะไร!?”

“หม่อมฉันแค่กำลังคิดอยู่ว่าแท้จริงแล้วองค์หญิงมาร้องขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉันนี่เอง ดูท่าทางท่านแล้ว ยังนึกว่ามาล้างแค้น”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ

หรงเจินสีหน้าเย็นยะเยือก

“เจ้ากล้าประชดองค์หญิงเช่นข้า!?”

“มิกล้าเพคะ ไม่ง่ายที่องค์หญิงจะออกจากตำหนักสักครา คิดว่าคงรออยู่ที่นี่มานานแล้ว ทว่าเรื่องที่ท่านรับสั่งมา หม่อมฉันเกรงว่าคงช่วยไม่ได้”

“เจ้าว่าอะไรนะ!?”

หรงเจินลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล

ฉู่หลิวเยว่เห็นได้อย่างชัดเจน ขานางเดินแปลกพิลึก

ซึ่งเห็นได้ว่าขาที่หักก่อนหน้าไม่ได้งอกดี

“นางแพศยา! เจ้ามองที่ใดกัน!”

เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาฉู่หลิวเยว่มองมาที่ขาตัวเอง หรงเจินก็โมโหหน้าแดงเถือก ยกมือขึ้นหมายจะตบไปที่หน้าฉู่หลิวเยว่โดยไว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์