หรงจิ้นชะงักค้างอยู่กับที่
เวลาผ่านไปพักหนึ่งเขาจึงได้สติกลับมาและเข้าใจความหมายของคำถามเมื่อครู่นี้ ที่ผ่านมาใบหน้าที่ไม่เคยแสดงความยินดียินร้ายมาก่อน บัดนี้กลับเผยให้เห็นอารมณ์ที่มิอาจคาดคิดออกมา
นี่…กำลังถามหาโฉนดที่ดินจากเขาอย่างนั้นหรือ!
เขากำลังจะตวาดด้วยความพิโรธ แต่ทันใดนั้นความทรงจำอันแสนเลือนรางก็แวบเข้ามาในหัว
ไม่สิ!
เขาไม่มีโฉนดที่ดินล่าสัตว์ผืนนี้จริงเสียด้วย!
แม้ว่าตอนแรกเสด็จพ่อจะทรงพระราชทานให้ แต่…ตอนนั้นกลับมอบให้ฉู่หลิวเยว่เป็นสินสอดทองหมั้น!
โฉนดที่ดิน…อยู่ในมือของฉู่หลิวเยว่!
“องค์ชายรัชทายาท หากชื่อที่เขียนบนโฉนดที่ดินนี้เป็นชื่อผู้ใด พื้นที่ล่าสัตว์ก็ควรจะเป็นของผู้นั้นใช่หรือไม่ หากเดาไม่ผิด…ดูเหมือนพื้นที่ล่าสัตว์ตรงนี้…มิใช่ของพระองค์มาตั้งแต่แรกใช่หรือไม่”
แม้ว่าหน้าตาของยามเฝ้ารักษาการณ์จะธรรมดา แต่ในขณะที่เผชิญหน้ากับรัชทายาทผู้สูงส่ง พวกเขากลับพูดจาสามหาวและมีท่าทีกระด้างกระเดื่อง
ทันใดนั้นหรงจิ้นก็รู้สึกปั่นป่วนมวลท้อง ราวกับหัวใจถูกยัดด้วยก้อนสำลี เขาโกรธถึงขีดสุดจนรับไม่ได้
เพราะไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของอีกฝ่าย
ผู้คนที่ติดตามหรงจิ้นต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้
นี่มันอะไรกัน
พื้นที่ล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาทกลับกลายเป็นของคนอื่นอย่างนั้นหรือ
ทั้งยังกล้าถามหาโฉนดที่ดินจากองค์ชายรัชทายาทอีก คนพวกนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่
ทันใดนั้นก็มีบางคนนึกถึงเรื่องเก่าๆ เมื่อหลายปีก่อน
ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ โฉนดที่ดินผืนนี้อยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ แต่นางเป็นคนไร้ความสามารถ จะเอาปัญญาที่ไหนไปจ้างคนพวกนี้มาต่อต้านองค์รัชทายาท
ส่วนบางคนก็ลอบมองฉู่เซียนหมิ่นเงียบๆ
ฉู่เซียนหมิ่นก็มึนงงไปพักหนึ่ง
จนกระทั่งสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นาง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นางก็จำได้ว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับฉู่หลิวเยว่อยู่ในนั้น!
หรงจิ้นกำหมัดในแขนเสื้อแน่น เขาพยายามควบคุมความโกรธในใจอย่างสุดกำลัง จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเย็นเฉียบ
“ฉู่หลิวเยว่ส่งพวกเจ้ามาอย่างนั้นหรือ”
ยามรักษาการณ์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่ฉู่”
หรงจิ้นยิ้มเยือกเย็นในใจ
ยังพูดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหรือ
ถึงขนาดเรียก ‘คุณหนูใหญ่ฉู่’ ออกมาแล้ว!
ทั่วทั้งเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่เรียกคนไร้ความสามารถผู้นั้นเช่นนี้
ถ้าจะบอกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ทำอะไรกับที่นี่ เขาไม่เชื่อเด็ดขาด
“พวกเจ้าหมายความว่าพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้เป็นของพวกเจ้าเองน่ะหรือ”
ยามผู้เฝ้าประตูกล่าวด้วยความเคารพ
“ที่นี่เป็นของเจ้านายข้าเอง”
“บังอาจ!”
ซ่งหยวนขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยท่าทางดุดัน
“นี่เป็นพื้นที่ล่าสัตว์พระราชทานจากฝ่าบาท องค์ชายรัชทายาทดูแลเอาใจใส่หลายปี ชั่วพริบตาเดียวจะกลายเป็นของเจ้านายพวกเจ้าได้อย่างไร ข้าว่าพวกเจ้ารนหาที่ตายมากกว่า!”
เขาพูดพลางระดมพลังในร่างกายเปลี่ยนฝ่ามือเป็นกำหมัด แล้วพุ่งเข้าไปชกหนึ่งในนั้นอย่างแรง
“หมัดพยัคฆ์มังกร!”
แม้ตอนนี้ซ่งหยวนจะมีอายุไม่เกินยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี แต่เขาก็ได้บรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่แล้ว หมัดนี้ถูกห่อหุ้มด้วยพลังมหาศาลและแข็งแกร่ง ลมผ่านหมัดคำรามราวกับเสียงคำรามของพยัคฆ์
ทันใดนั้น หนึ่งในยามรักษาการณ์ก็เริ่มเซถลา แล้วปล่อยหมัดด้วยสีหน้าแน่นิ่ง
เขาเลือกที่จะต่อสู้ซึ่งๆ หน้า
ปึก!
เสียงการปะทะกันที่น่าอึดอัดดังขึ้นในป่าอันเงียบสงบ!
พลังอันแรงกล้าทำให้ใบไม้ที่กองอยู่บนพื้นโหมกระพือขึ้นมา!
ตอนแรกซ่งหยวนไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่แรงปะทะหมัดของอีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกถึงพลังกดดันที่ถาโถมเข้ามาโจมตี!
อีกทั้งเขายังแอบรู้สึกว่าพลังความสามารถของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าตนเองเสียด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็ถอยกลับไปอย่างควบคุมไม่ได้!
ตึงๆๆ!
เขาถูกโจมตีจนถอยหลังไปสามก้าว
ไม่ง่ายเลยหากเขาจะทรงตัวให้มั่นคง เขาอยากผรุสวาท แต่กลับรู้สึกว่ามีเลือดออกระหว่างหน้าอกและช่องท้องของตนเอง ทันใดนั้นในปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง!
ซ่งหยวนพยายามกลั้นลมหายใจนี้ แล้วกลืนเลือดลงท้องอย่างยากลำบาก!
ฉับพลันราวกับอากาศถูกแช่แข็ง
ทั้งสองต่อสู้กัน ซ่งหยวนถูกลาถอยหลัง ส่วนยามผู้รักษาการณ์ผู้นั้นกลับแข็งแกร่งดั่งหินผา!
เมื่อมองหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษขาวของซ่งหยวนอีกครั้ง ใครๆ ต่างก็มองออกว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายตั้งแต่แรก!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์