ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 267

บรรยากาศเงียบสงัด

ไม่เพียงแต่เฉิงหันเท่านั้น คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็พานิ่งไปตามๆ กัน!

ผู้อาวุโสซุนมีอาจารย์ลุงแค่คนเดียวเท่านั้น และตอนนี้หัวหน้าสำนักเทียนลู่ ก็คือแพทย์ระดับห้าอย่างเยี่ยจือถิง!

“เจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ลิ้นของเฉิงหันพันไปหมดแล้วจนพูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ ไม่กล้ามั่นใจนัก

ซุนจ้งเหยียนยิ้มอ่อน

“ข้าบอกว่า ในชีวิตนี้ท่านอาจารย์ลุงรับลูกศิษย์แค่คนเดียว ซึ่งก็คือหลิวเยว่! ต่อให้อาจารย์ลุงรักสงบจึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้มากนัก ฉะนั้นที่จึงเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้!”

เฉิงหันถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ในเมื่อซุนจ้งเหยียนกล้าพูดต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ต้องเป็นความจริงแน่นอน!”

แม้แต่ทุกคนที่อยู่ในสำนักเทียนลู่ก็อึ้งทึ่งไปพร้อมๆ กัน

“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่? ฉู่หลิวเยว่เป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าสำนักงั้นรึ?”

“ผู้อาวุโสซุนเอ่ยปากเองแบบนี้ยังจะเป็นเรื่องปลอมอีกรึ? ข้าว่าแล้วว่าก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าฉู่หลิวเยว่ไหว้อาจารย์คนไหนักคนหนึ่ง แต่สืบอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ที่แท้ก็…”

“ให้ตายเถอะ…หัวหน้าสำนักเคยบอกว่าการรับลูกศิษย์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่ใช่รึ? ทำไมจู่ๆ ถึงยอมเป็นอาจารย์ของฉู่หลิวเยว่ได้?!”

“น้อยครั้งมากที่หัวหน้าสำนักจะออกมา แน่นอนว่าต้องมีคนรู้เรื่องนี้ไม่มาก ตอนนี้ข้าอยากรู้อยู่เรื่องหนึ่งว่า ฉู่หลิวเยว่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ขนาดนั้นเชียวรึ ถึงขั้น…”

ยังพูดไม่ทันจบ ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ และเห็นแววตาที่เหมือนกันของกันและกัน

แม้แต่พวกมู่หงอวี๋ก็นิ่งไปสักพักก่อนจะแสดงอารมณ์ที่เดาได้ยาก

“เฉินหู่ เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”

“ข้าไม่รู้ หงอวี๋ เจ้าก็ไม่รู้เช่นกันรึ?”

“ดูแล้วทุกคนต่างก็ไม่รู้เลยสักคน”

กู้หมิงเฟิงนึกเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่เคยอยู่ที่บรรพตวั่นหลิงแล้วก็หัวเราะเยาะ

“พวกเรารู้ทีหลังอยู่เรื่อยจริงๆ นางบอกว่าตัวเองบังเอิญเข้าใจ พวกเราก็ยังเชื่อเขาอีก”

ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อนึกย้อนดูแล้วถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

ฉู่หลิวเยว่เก่งด้านนี้มากอยู่แล้ว แล้วจะบังเอิญเข้าใจได้อย่างไรเล่า!

แววตาของมู่หงอวี๋เหมือนคิดอะไรบางอย่างออก

“ข้าสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่าสิ่งพวกเรากำลังเผชิญอยู่จะยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิดเสียอีก!”

“ฉู่…ฉู่หลิวเยว่เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติไม่ใช่รึ?” ฝูอวิ๋นซานที่อยู่ข้างๆ อดที่จะไม่เอ่ยปากถามไม่ได้

ซุนจ้งเหยียนพยักหน้า

“แน่นอน หลังจากที่นางเข้าสำนักมา เป้าหมายหลักของนางก็คือขั้นปรมาจารย์ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ขัดต่อการที่นางเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ลุง เพราะถึงอย่างไรนางก็ได้รางวัลที่หนึ่งจากการแข่งขันวิชาต่อสู้ไม่ใช่รึ?”

ฝูอวิ๋นซานอ้าปากค้าง เพราะเขาพบว่าคําพูดของซุนจ้งเหยียนนั้นสมเหตุสมผลมาก

ทว่า…แต่ทำไมถึงดูเหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติไป?

จะมีคนเช่นนี้ที่บูชาแพทย์สวรรค์ในฐานะครูของเขา ฝึกฝน การเป็นปรมาจารย์ และสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้อื่น ๆ อีกด้วย?

แบบนี้มันบ้าเกินไปแล้ว!

ปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างจากฝูอวิ๋นซาน

พวกเขาไม่ได้เคยพบคนอัจฉริยะ

ตามความเป็นจริงแล้ว คนที่สามารถเข้าเรียนสามสำนักนี้ได้ก็มีพรสวรรค์ที่น่าอิจฉาอยู่แล้ว

แต่เมื่อเทียบกับฉู่หลิวเยว่แล้ว ทันใดนั้นกลับมืดมนลงทันที!

ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็อดที่จะไม่ถามไม่ได้

“ผู้อาวุโสซุน ผู้อาวุโสเยี่ยรับฉู่หลิวเยว่เป็นลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมไม่เห็นว่าเคยมีข่าวนี้เลยสักนิด?”

แม้ว่าวิทยาลัยเทียนลู่จะเป็นอิสระจากราชวงศ์ที่แม้แต่จักรพรรดิจยาเหวินก็ต้องเกรงใจในบางที แต่การรับลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเยี่ยก็มีความสําคัญมากจนเขาเพิ่งจะมารู้เอาวันนี้ เขาจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเป็นธรรมชาติ

ที่สําคัญกว่านั้นก็คือ ลูกศิษย์คนนี้ยังเป็นฉู่หลิวเยว่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าขี้เถ้า[1]อีกด้วย!

ซุนจ้งเหยียนเงยหน้าขึ้นก่อนจะอธิบาย

“ฝ่าบาท ก่อนหน้าที่ฉู่หลิวเยว่จะเข้ามาศึกษาในสำนักเทียนลู่ นางก็รู้จักอาจารย์ลุงมาก่อนและกลายเป็นลูกศิษย์ของเขาในภายหลัง”

ทุกคนยิ่งตกใจกันเข้าไปใหญ่

หรือที่ฉู่หลิวเยว่ฟื้นขึ้นมาและกลายเป็นอัจฉริยะนั้นต่างเป็นเพราะผู้อาวุโสเยี่ยทั้งนั้น?!

ถ้าเป็นแบบนี้ ก็สามารถอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว!

แต่จักรพรรดิจยาเหวินกลับไม่ได้ถามเรื่องเหล่านี้ต่อ เพียงแต่มองไปยังฉู่หลิวเยว่ที่ฟื้นขึ้นมาด้วยสายตาลึกลับซับซ้อน สักพักถึงจะเอ่ยปาก

เยี่ยจือถิงเป็นใครกัน?

เขาเป็นถึงหนึ่งในปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงมายาวนานเป็นสิบปีเชียวนะ!

คนที่สามารถอยู่ในสายตาเขาได้ก็ต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

แต่เขากลับสงสัยในตัวของฉู่หลิวเยว่แบบนี้ ก็เท่ากับว่าสงสัยในตัวของเยี่ยจือถิงด้วยเช่นกัน!

ที่สำคัญก็คือเขาเป็นไม่ได้แม้แต่คู่แข่งของเยี่ยจือถิง จึงน่าตลกมากที่เขากล้าพูดแบบนี้!

ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก

“ข้าจะตอบคําถามนี้ในภายหลังเอง แต่ตอนนี้แก้ปัญหาของหยางเจี้ยนชิงก่อนคงจะดีกว่า ตอนนี้ผู้ตัดสินคงไม่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้แล้วใช่หรือไม่?”

เฉิงหันยังคงเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่

“ได้! ขอเพียงแค่เจ้านำหลักฐานออกมา ทุกอย่างก็จะขึ้นอยู่กับเจ้า”

“ขอบใจท่านหัวหน้าสำนักเฉิงหันมาก หวังว่าอีกเดี๋ยวท่านคงยังจะจำคำที่ท่านพูดตอนนี้ได้”

ฉู่หลิวเยว่ทําตามวิธีที่ดีที่สุด และในที่สุดก็มองไปที่หยางเจี้ยนชิงผู้ที่เหงื่อออกทั่วตัวไปแล้ว

หยางเจี้ยนชิงยื่นมือทั้งคู่ออกมาพลางกัดฟัน

“เจ้าจะตรวจอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า ข้าบอกไม่มีก็คือไม่มี!”

ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ กวาดสายตาไปที่มือของเขา

เห็นว่าสะอาดสะอ้านดี

แต่ดูเหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่เชื่อ และราวกับว่ากำลังอยากจะพิสูจน์ตัวเอง

หยางเจี้ยนชิงถึงกับถอดเสื้อชั้นนอกของตัวเองออกพลางตะโกนเสียงดัง

“บนตัวข้าก็ไม่ได้มีของอะไรซ่อนอยู่ ตอนนี้เห็นชัดเจนพอแล้วหรือยัง!”

เพราะความใจร้อนและโมโหจึงทำให้เสื้อของเขาขาด บวกกับใบหน้าที่แดงและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขาก็ทำให้เขาดูทรหดอดสูสุดๆ

ฉู่หลิวเยว่นิ่งไปก่อนจะยกมุมปากขึ้นแสยะ

“ข้าได้บอกว่าข้าจะค้นตัวเจ้าด้วยรึ?”

[1] ขี้เถ้า ในที่นี้มีความหมาย คือคนไร้ค่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไร้ประโยชน์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์