ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ
นี่หลีอ๋อง…
แต่หรงซิวกลับมองไปทางจักรพรรดิจยาเหวิน แล้วประสานมือคำนับ
“ลูกมาสาย เสด็จพ่อโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็กระแอมไอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าทางน่าจะป่วยจริงๆ
จักรพรรดิจยาเหวินส่ายพระพักตร์ ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
“ร่างกายของเจ้าอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ เหตุใดต้องฝืนสังขารมาด้วย”
หรงซิวเหลือบมองหรงจิ้นแวบหนึ่ง
“ในฐานะอนุชา งานเลี้ยงวันเกิดเสด็จพี่ทั้งที ลูกจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเจินแอบเยาะเย้ยในใจ แต่ภายนอกกลับแย้มยิ้ม
“น้องเจ็ดเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นแค่งานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น หากเหตุผลนี้ทำให้กระทบกระเทือนสุขภาพร่างกายของเจ้า ก็คงเป็นความผิดของข้าเอง รีบนั่งเถิด!”
หรงซิวอ่อนน้อมดั่งสายน้ำไหล เขาจึงนั่งลงข้างองค์ชายสามหรงจิ่ว
จากนั้นเขาปลดเสื้อคลุมออกจากเรือนร่าง แล้วก็ไออีกหลายครั้ง
ดูเหมือนการเดินทางไปมาในครั้งนี้ทำให้เขาทรมานอย่างมาก
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
หลีอ๋องผู้นี้ดูร่างกายไม่แข็งแรงจริงๆ ด้วย
หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์หลายคนมีสีหน้าผิดหวัง
ต่อให้รูปงามกว่านี้ แต่ร่างกายอ่อนแอขนาดนี้ก็ไม่มีอนาคตจริงๆ
เสียดายความหน้าตาดี ทั้งยังมีสง่าราศี…
แต่ดูเหมือนว่าหรงซิวไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ หลังจากเขานั่งลงก็ทักทายคนรอบข้าง แล้วอยู่เงียบๆ
ดูแล้วช่างเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนราวกับหยก
หรงเจินไม่เคยมีความประทับใจกับพี่ชายคนที่เจ็ดคนนี้ แต่เมื่อนางเห็นเขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฉู่หลิวเยว่ นางก็รู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมาทันที
นางหัวเราะเยาะแล้วหันไปมองหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่ก่อนจะถอนสายตากลับมา
“น้องเจ็ดดูเป็นห่วงเป็นใยคุณหนูใหญ่ฉู่เหลือเกิน หรือว่า…พวกเจ้ารู้จักกันตั้งนานแล้ว”
หรงซิวยิ้มอ่อน
“กระหม่อมเพิ่งกลับเมืองหลวงไม่ถึงเดือน วันนี้ก็เพิ่งออกจากจวนเป็นครั้งแรก จะไปรู้จักผู้อื่นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเจินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เช่นนั้นเจ้าช่วยนางทำไม”
หรงซิวหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“กระหม่อมแค่คิดว่าวันนี้คือวันเกิดของเสด็จพี่ หากมีเลือดก็คงอัปมงคล อีกอย่าง…กระหม่อมก็มาสาย แล้วก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นถึงได้กลายเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขารินชาให้กับตัวเอง แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง
“หากกระหม่อมจำไม่ผิด คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่…ดูเหมือนจะมีสัญญาหมั้นหมายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าใครถึงได้กล้าทำกับว่าที่พระชายาในงานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาทเช่นนี้”
หรงเจินสะอึก
สีหน้าของหรงจิ้นพลันบูดบึ้งด้วยเช่นกัน
นี่เป็นการกล่าวหาว่าเขาปล่อยให้ผู้อื่นรังแกฉู่หลิวเยว่ใช่หรือไม่
เมื่อฮองเฮาเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลีอ๋องเข้าใจผิดแล้ว หรงเจินได้เจอนางก็เหมือนเจอสหายเก่า ก็เลยอยากมอบอสูรงูหลามทองคำให้แก่นาง เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็แค่เป็นการสั่งสอนอสูรงูหลามทองคำเท่านั้น”
ดูเหมือนหรงซิวจะแปลกใจเล็กน้อย
“สั่งสอนอสูรงูหลามทองคำหรือพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ฉู่มีชีพจรที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิดมิใช่หรือ แล้วจะกำราบอสูรงูยักษ์นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนคำถามที่เขาสงสัยจะทำให้ฮองเฮาและคนอื่นๆ เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
หรงจิ้นขมวดคิ้ว เขาคิดว่าหรงซิวกำลังจงใจทำให้ตัวเองไม่สามารถกอบกู้หน้าตาขึ้นมาได้
แต่เมื่อเห็นเขาทำหน้ามึนงง ดูเหมือนว่าเขาจะถามประโยคนี้โดยไม่รู้ตัวจริงๆ
ถึงอย่างไร หรงซิวคงไม่รู้เรื่องพื้นที่ล่าสัตว์นั่นหรอก
ทันใดนั้น หรงจิ้นก็แยกไม่ออกว่าตกลงเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ก็เลยไม่ตอบสิ่งใด
แต่หรงเจินกลับโต้แย้งอย่างอดไม่ได้
“เห็นกันชัดๆ ว่านางเป็นฝ่ายผิดก่อน นางเอาโฉนดที่ดินของเสด็จพี่รัชทายาทไปขายให้กับผู้อื่น การกระทำเช่นนี้ ถึงจะเรียกว่าเกินกว่าเหตุ!”
หรงซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ถูถ้วยชาในมือแล้วเอ่ยถาม
“ในเมื่อเป็นโฉนดที่ดินขององค์รัชทายาท เหตุใดนางจึงสามารถเอาไปขายได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในตำหนักใหญ่พลันเงียบกริบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์