หลังจากรอยร้าวบนค่ายกลระเบิดจนเกิดช่องว่างขึ้นมา ก็ดูเหมือนจะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ราบรื่นมากกว่าเมื่อครู่
พลังค่ายกลสีทองจางๆ รอบตัว ที่ดูแข็งแกร่งราวก้อนน้ำแข็ง ก็ละลายอย่างรวดเร็วภายใต้การเผาไหม้ของเปลวเพลิงแห่งกรรมที่โปร่งใส!
เมื่อเปลวเพลิงกระทบกับพื้นผิวของค่ายกล อาคมสีทองที่เปล่งออกมาจากค่ายกลก็ส่องสว่างขึ้นฉับพลัน
พรึบ!
เพียงเสียงลุกไหมดังขึ้นครั้งเดียว เปลวไฟที่โปร่งใสนั้นก็ลุกลามไปในทันที
ทันใดนั้น ค่ายกลสีทองทั้งหมดก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่โปร่งใส
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นได้ชัดเจนว่า ผลึกบางๆ ห้าเหลี่ยมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ทับถมอยู่บนนั้น ค่อยๆ กระจัดกระจาย และสลายตัวกลายเป็นเม็ดทรายเล็กๆ ทั่วไป
ซึ่งค่ายกลสีทองด้านอื่นๆ ก็ค่อยๆ สลายตัวลงเช่นกัน
เรียกได้ว่าร่างของฉู่หลิวเยว่นั้นแทบจะถูกล้อมไปด้วยเพลิงแห่งกรรมที่กำลังเผาไหม้อย่างไม่รู้จบ
ทว่าตอนนางนั้นยังโชคดี หรือไม่ก็เป็นเพราะหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์นั้นจดจำได้ว่านางเป็นผู้ถือครอง ดังนั้นความร้อนจากเปลวไฟจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อนางเลยสักนิด
แต่กลายเป็นเจ้าถวนจื่อต่างหากที่ทนความแสบร้อนไม่ไหว เมื่อไฟลามมายังด้านหลัง มันก็ทนไม่ไหว แล้วรีบมุดกลับเข้าไปหลบในที่ของตัวเองอย่างว่องไว
เมื่อปราการสีทองแถวแรกหายไปอย่างสมบูรณ์ และกลายไปเป็นทรายที่กระจัดกระจายอีกครั้ง ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกได้ถึงพลังประหลาด ที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของนางตามการไหลเวียนของเปลวเพลิงแห่งกรรมที่โปร่งใส
นางกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ
สิ่งนี่คือ…
“ผลึกสีทองนั้นมีพลังมากมาย แต่เจ้าเผามันด้วยเพลิงแห่งกรรม ซึ่งการใช้พลังถึงเพียงนี้ เกือบจะเทียบเท่ากับการดึงพลังทั้งหมดที่อยู่ในนั้นออกมาใช้เลย”
ทันใดนั้นอินทรีสามตาก็พูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
แต่ถ้าฟังดีๆ จะสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่แปรปรวนในน้ำเสียงนั่น
มันอยู่กับฉู่หลิวเยว่มานานพักหนึ่งแล้ว และได้เห็นกับตาตัวเองมาตลอดว่า นางมีดวงชะตาที่ต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง!
โชคชะตาแบบนี้จะเรียกว่าขัดต่ออำนาจของสวรรค์ก็คงฟังดูไม่เกินจริง
ขนาดตัวมันเองยังอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจเลย
มันมีชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดที่เกิดมาพร้อมโชคอย่างฉู่หลิวเยว่เลยสักคน!
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าในทางปฏิบัตินั้น สิ่งแรกที่ติดตัวคือพรสวรรค์ และประการที่สองก็คือความขยันหมั่นเพียร
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่มาอันดับแรกคือ โชคต่างหาก และฉู่หลิวเยว่คือคนที่มีทั้งสามสิ่งนี้
เพราะเหตุนี้จึงทำให้ตอนนี้อินทรีสามตาพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ถึงยินดีให้ฉู่หลิวเยว่เป็นผู้ถือครองของมัน
มันเริ่มสัมผัสได้ว่า คำสัญญาที่ฉู่หลิวเยว่บอกจะช่วยฟื้นคืนร่างกายให้มันนั้น ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ได้ฟังในคราแรก
หากนางพัฒนาฝีมือต่อไปเรื่อยๆ วันใดวันหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่อาจกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในอนาคตก็ได้
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ อินทรีสามตาคิดเป็นตุเป็นตะเพียงใด ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ถามอย่างไม่แน่ใจว่า
“เจ้าจะบอกว่า…ที่ข้าทำเช่นนี้นั้นเปรียบเสมือนการฝึกตนอย่างนั้นหรือ?”
อินทรีสามตาเยาะเย้ย
“ยามเจ้าฝึก เจ้าเก่งกาจเพียงนี้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ที่พูดมานั่นหมายความว่า มันจะชมว่านางโชคดี หรือจะด่าว่านางเป็นพวกหัวช้ากันแน่
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สถานที่แห่งนี้ยังมีค่ายกลสีทองที่เปรียบเสมือนปราการเขาวงกตอยู่อีกนับร้อยชั้น
หากนางเผาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ ไม่ใช่ว่ามันจะช่วยทำให้ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มพูนขึ้นอีกหรือ
นับตั้งแต่เข้าสู่สุสานของจักรพรรดิ ในที่สุดอารมณ์ที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้ ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดแน่น และรู้สึกถึงพลังที่พุ่งพล่านในร่างกายของนาง พลันอดไม่ได้ที่จะเม้มปากอย่างชั่งใจ
คาดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญมาเจอเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วย
หากนางสามารถกลืนพลังเหล่านี้ได้ทั้งหมด นางจะต้องทะลวงค่ายกลออกไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็ควรขอบคุณมู่ชิงเห่อเช่นกัน
เดี๋ยวนะ แล้วเขาล่ะ?
ท่าทีของฉู่หลิวเยว่ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
ดังนั้นถึงแม้จะมันจะถูกกดพลังไว้เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว และประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง ทว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยเคลื่อนไหวเลย
นอกเสียจากกักเก็บพลังปราณในตัวไว้อย่างเดียว
แต่…เพราะอันใดคราวนี้มันถึงเคลื่อนไหวกัน
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าอินทรีสามตากำลังคิดอันใดอยู่ และคิดว่ามันเองก็คงรู้สึกประหลาดใจกับฉากนี้เหมือนกัน
ระหว่างนางกับหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ มีสายสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดบางอย่างเชื่อมเราไว้ด้วยกัน ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์จะไม่บุบสลาย และจะไม่มีวันเป็นเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าตอนนี้มันกำลังซ่อมแซมตัวเองอย่างแข็งขัน
ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับฉู่หลิวเยว่
หลังจากยืนยันเรื่องนี้แล้ว ฉู่หลิฃวเยว่ก็รีบดึงสติกลับมาจดจ่ออยู่กับการฝึกตน
ตลอดเวลาปราการค่ายกลสีทองรอบๆ นั้นทยอยละลายเรื่อยๆ ภายใต้การเผาไหม้ของเปลวเพลิงแห่งกรรม
เหนือพื้นดินปรากฏกองทรายสีทองที่กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง และรังสีที่แผ่ออกมาจากร่างของฉู่หลิวเยว่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เพลาล่วงเลยไปจนไม่อาจทราบได้ ทว่าจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่มองไม่เห็น
หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ นั่นเป็นสัญญาณของการทะลวงผ่านนักรบระดับสาม
ขณะเดียวกัน ลวดลายอักขระที่สองก็ปรากฏขึ้นบนหยดน้ำในจุดตันเถียน
เมื่อเวลานี้มาถึงฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งสงบนิ่ง นางยังคงดูดซับพลังปราณอย่างเรื่อยๆ
นางรู้ว่าตัวเองไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนทั่วไป
ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของน้ำ นางจึงต้องการที่จะฝ่าฟันขึ้นสู่นักรบระดับสามให้ได้ แต่ก็เกรงว่ามันจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นๆ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปทีละนิด ฉู่หลิวเยว่ก็พบว่ามีปัญหาอีกอย่างเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าชีพจรดั่งเดิมในร่างกายของนาง จะไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกได้อีกต่อไป และมันเริ่มเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว
คราแรกมันเป็นเพียงความรู้สึกเจ็บแปรบเล็กน้อย แต่มันกลับพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงไปทั้งตัว
พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวนางตลอดเวลา และแทบจะทุบจิตวิญญาณของนางให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
ฉู่หลิวเยว่พยายามลดการไหลเข้ามาของพลังปราณ แต่กลับต้องตกใจเมื่อพบว่านางหยุดมันไม่ได้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...