“ฝ่าบาท ทรงอย่าได้ร้อนรน สุสานของจักรพรรดินี้คงอยู่มาเป็นเวลาหลายพันปีโดยปราศจากเหตุร้ายใดๆ และมันจะไม่พังทลายลงตอนนี้อย่างแน่นอน แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าภายในนี้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น”
ขณะปลอบโยนจักรพรรดิจยาเหวิน เยี่ยจือถึงก็ได้แผ่กระจายคลื่นพลังปราณออกไป เพื่อตรวจสอบส่วนลึกภายในสุสาน
เมื่อมองไปยังเส้นทางที่ถูกขวางไว้โดยสมบูรณ์ ความกลัวก็ยิ่งกลืนกินจิตใจของจักรพรรดิจยาเหวิน
หากเมื่อครู่หินก้อนนี้หล่นลงมาทับร่างของเขาละก็…
“ตะ…แต่ขอบทางเดินเริ่มพังลงแล้ว เกรงว่าอีกไม่นาน ภายในเองก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน!” จักรพรรดิจยาเหวินปวดหัว เมื่อเขาเริ่มขบคิดเกี่ยวกับบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสุสานจักรของพรรดิในเวลานี้
ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปเขาจะเสียหน้าเพียงใด อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษอีก!
เยี่ยจือถิงส่ายหัว
“ฝ่าบาท การที่สุสานจักรของพรรดิสร้างขึ้นใต้ยอดเขาซีจินนั้นมีเหตุ และผลอันสมควรของมันเอง ได้โปรดถอยออกไปก่อน กระหม่อมผู้นี้จะเปิดทางให้ท่านเองเพคะ”
จักรพรรดิจยาเหวินรู้ว่าตอนนี้มีเพียงเยี่ยจือถิงเท่านั้นที่ไว้ใจได้ ดังนั้นเขาจึงถอยกลับไปอย่างเชื่อฟังทันที
เยี่ยจือถิงจ้องมองก้อนหินด้านหน้าพลันขมวดคิ้ว
สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่เรื่องสุสานของจักรพรรดิพังทลาย แต่…เป็นเรื่องของคนสองคนที่เข้ามาก่อนพวกเขา พร้อมทักษะที่สามารถทำให้สุสานของจักรพรรดิสั่นสะเทือนได้ถึงเพียงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ สมองก็พลันนึกย้อนไปถึงตอนที่มีแสงส่องสว่างวาบเหนือวงแหวน…
แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกนั้นมาเพื่อสิ่งใด
เขากลั้นหายใจ และรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือของเขา
พลันหันฝ่ามือไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ตูม!
เกิดรูขนาดใหญ่ขึ้นตรงกลางหินก้อนนั้น
จักรพรรดิจยาเหวินอารมณ์ดีขึ้นทันที
ตราบใดที่พวกเขาสามารถทำลายหินก้อนนี้ได้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสเข้าไป และปิดกั้นการทำงานของสุสานได้
“ถ้าข้ารู้ว่าสองคนนั้นเป็นใคร ข้าไม่มีทางปล่อยพวกมันไว้แน่”
เยี่ยจือถิงเอ่ยเสียงจริงจัง พลันวาดฝ่ามือออกไปอีกครั้ง
ตูม!
ครืน!
เพียงพริบตา แสงสีขาวที่รุนแรงพุ่งทะลุสู่อีกด้านของก้อนหิน
“ทะลวงได้แล้ว!”
จักรพรรดิจยาเหวินกำหมัด และพูดอย่างตื่นเต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เยี่ยจือถิงก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
อย่างใดเสียบริเวณนี้จัดว่าเป็นเขตรอบนอกของสุสานจักรพรรดิ เขาจึงจัดการได้ง่ายกว่าที่คาดไว้
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะเหลิงไปกับชัยชนะ และทำการเปิดทางเดินทั้งหมดต่อไป ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงอันใดบางอย่าง พลันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป!
“ถอย!”
เขาตะโกนอย่างเคร่งเครียด พลางคว้าคอเสื้อของจักรพรรดิจยาเหวิน และถอยกลับอย่างรวดเร็ว!
จักรพรรดิจยาเหวินที่ไม่ทันระวังตัว ก็ได้ร้องอื้ออึงในลำคออย่างอึดอัด ขณะที่ถูกเยี่ยจือถิงลากตัวออกไป เขาหน้าแดงเถือกและไอโขลกอย่างรุนแรง
“เยี่ย…แค่กๆ…เยี่ย…”
เขาแค่นเสียงพูดออกมาสองสามพยางค์ด้วยความยากลำบาก แต่ครู่ต่อมาดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด
ภาพตรงหน้าคือทรายสีทองที่ไหลพรวดออกมาจากรอยแตกตรงกลางหิน
ทรายสีทองเหล่านั้นรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ก่อตัวเป็นชั้นผลึกบางๆ พลันปกคลุมทั่วทั้งหินก้อนนั้น
หินก้อนนั้นจึงกลายสภาพเป็นเหมือนก้อนผลึกทองคำที่ดูสวยงาม ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินกลับมองมันด้วยความกลัวสุดขีด
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่บรรจุอยู่ในผลึกบางๆ สีทองนั่น
พลันมีเศษหินที่แตกจากการโจมตีเมื่อครู่ กลิ้งหล่นลงพื้น
พรึบ!
เพียงเสียงกระทบดังขึ้น เศษหินก้อนนั้นก็กลายเป็นผุยผงทันที
หัวใจของจักรพรรดิจยาเหวินสั่นเทาอย่างรุนแรง
ว่าแล้วเชียว
หากสัมผัสกับผลึกสีทองบางๆ นั่นก็จะมีจุดจบเช่นนี้
แต่ถึงพวกเขาจะหลบได้อย่างว่องไว ทว่าทรายสีทองนั่นก็แผ่กระจายเร็วขึ้นด้วย
ดวงตาของเขาจ้องมองทรายเหล่านั้นที่กำลังไล่ตามมาติด
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงของนางสุภาพมากขึ้น
“ในเมื่อท่านอยู่ที่นี่มาตลอด นั่นหมายความว่าท่านรู้ตัวตนของข้าแล้ว ข้ารู้สึกขอบคุณท่าน สำหรับการดูแลช่วยเหลือหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่…สำหรับสิ่งนี้ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้ายกมันให้ท่านไม่ได้จริงๆ นอกจากสิ่งนี้แล้วเรียกร้องจากข้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งใดข้าจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อเอามันมาให้ท่านแน่นอน”
คราวนี้ในที่สุดอีกฝ่ายก็เปิดปากพูด
“ข้าเรียกร้องเดียวของข้าก็คือ เจ้าสิ่งนั้น”
น้ำเสียงนั้นสงบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันแน่น
“เถ้าแก่ใหญ่ พวกเรามาลองปรึกษาหารือกันดีหรือไม่? ไว้ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ค่อยหาที่นั่งสนทนาเรื่องนี้กันอีกที ท่านคิดว่าอย่างใด? เมื่อครู่ท่านพูดว่านี่คือของรักของภรรยาท่าน อย่างนั้นแล้ว…เหตุใดไม่ลองให้ข้ากับภรรยาของท่านได้ลองคุยกันก่อนเล่า?”
นางมาถึงที่นี่ก่อนเขา และติดอยู่ในนี้มาพักหนึ่งแล้ว การพูดจาบีบบังคับนางเช่นนี้ ย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับนาง
อย่างใดก็หาที่นั่งจับเขาคุยกันดีๆ ก่อนเถอะ
เถ้าแก่ใหญ่ไม่เห็นหรือว่า ทั้งทะเลสาบกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว
อีกฝ่ายกลับไปเงียบขรึมอีกครั้ง
ทว่าทันใดนั้นกำแพงก็แยกออก พร้อมกริชในมือที่สั่นไหว
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นรอยแตกร้าวบนผนังรอบกริช
นางกลัวว่าไม่นานกริชในมือคงรับน้ำหนักไม่ไหว
แต่ทว่าเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้คงไม่รู้ถึงความลำบากของนาง ช่างพูดยากเสียจริง
แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของนาง อีกฝ่ายจึงเอ่ยออกมาด้วยความเมตตา
“เจ้าบอกว่า…เจ้าขอคุยกับภรรยาข้าด้วยตัวเองหรือ?”
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป
ราวกับว่า…กำลังขบขันอยู่อย่างใดอย่างนั้น
มีสิ่งใดต้องให้ขำด้วยหรือ?
ฉู่หลิวเยว่ไม่สบอารมณ์ รอให้นางได้เจอกับภรรยาผู้เลื่องลือนางนั้นเสียก่อนเถิด นางจะกวดตามองให้ละเอียดถี่ถ้วนเลยว่า จริงๆ แล้วนางผู้นั้นเป็นคนแบบใด
ช่างวุ่นวายเสียจริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...