ฉู่เซียนหมิ่นตกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับความรักความเมตตาจากองค์ชายรัชาทายาท
องค์ชายทรงโปรดนา แต่น้อยนักที่จะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้กับนาง และนางยัง…ได้ยินด้วยว่าน้ำเสียงเจือความเอ็นดูขนาดไหน
โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้
นี่หมายความว่า องค์ชายรัชทายาททรงตัดสินพระทัยว่าจะอภิเษกกับนางเร็วๆ นี้ใช่หรือไม่
ฉู่เซียนหมิ่นรู้สึกดีใจและสะใจพร้อมกัน รอยยิ้มของนางที่เผยออกมาก็ยิ่งหวานหยดย้อย
“เช่นนั้นหมินหมิ่นต้องขอบพระทัยพี่จิ้นตอนนี้ล่วงหน้าก่อนเพคะ”
หรงจิ้นพยักหน้าแล้วกวาดสายตามองผ่านฉู่หลิวเยว่แวบหนึ่งก็เห็นว่านางเดินเข้าไปในสนามแล้ว ราวกับว่าไม่แยแสเรื่องทางนี้เลยสักนิด และไม่เป็นห่วงเป็นใยเขาเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
หรงจิ้นเม้มริมฝีปาก และไฟแห่งความโกรธก็ลุกไหม้ในใจโดยมิทราบสาเหตุ
ไหนบอกว่าก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่แอบชอบเขามิใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้แสดงท่าทีเช่นนี้
อดีตเขาแค่รังเกียจนาง สัญญาหมั้นหมายระหว่างพวกเขาทั้งสองเหมือนภูเขาหนักอึ้งที่ทับบนอก ทำให้เขากลุ้มใจยิ่งนัก
แต่เวลานี้สัญญาหมั้นหมายได้ยกเลิกไปแล้ว นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้กระทั่งหางตาก็ยังไม่อยากมอง แต่เขากลับรู้สึกมีบางสิ่งผิดปกติ แล้วก็ยังรู้สึก…อึดอัดเล็กน้อยอีกด้วย
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ ทำอย่างไรก็ไม่หาย เขาหงุดหงิดมาตั้งแต่ต้น
หรงจิ้นถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปมองฉู่เซียนหมิ่นอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกน่าเบื่อไร้อารมณ์
แต่ฉู่เซียนหมิ่นกลับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหรงจิ้นเลย จากนั้นนางจึงหันตัวเดินไปที่สนามแข่งขันเช่นกัน
ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน
บรรยากาศเริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที
“ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับพี่เลย คิดไม่ถึงว่าพี่จะมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์ หากคนในตระกูลทราบจะต้องดีใจแน่นอน”
ฉู่เซียนหมิ่นมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่านางรู้สึกยินดีจากใจจริง
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาดูมีพิรุธเล็กน้อย
นี่มันหมายความว่าอย่างไร
ไม่มีคนในตระกูลฉู่สักคนรู้เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่มีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์เลยหรือ
เช่นนั้นนางเริ่มเรียนการเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร และนางได้อันดับสองในการแข่งขันท่ามกลางนักเรียนดีเด่นมากมายได้อย่างไร
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเขาก็รู้ข่าวนี้เองแหละ พวกเขาจะดีใจหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ดูเหมือนน้องสามจะไม่ดีใจเลยนี่”
คำพูดของฉู่หลิวเยว่ตรงไปตรงมา และนางก็ไม่ได้อยากแสร้งเป็นพี่สาวที่แสนดีตั้งแต่แรก
ฉู่เซียนหมิ่นคุมสีหน้าไม่อยู่
“ท่านพี่กล่าวเกินไปแล้ว พี่ได้เป็นปรมาจารย์นั้นเป็นเรื่องดีต่อตระกูลฉู่ ทำไมข้าจะไม่ยินดีล่ะ ยิ่งพี่มีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ พลังแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ น้องก็ดีใจด้วย ฉะนั้นการสอบครั้งนี้ ท่านพี่ได้โปรดชี้แนะข้าด้วย”
มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากฝูงชน
“ผู้ที่ชีพจรพิการเช่นฉู่หลิวเยว่นั้นไม่ได้เป็นแม้ผู้ฝึกยุทธ์ การแข่งขันครั้งนี้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย นางจะเอาปัญญาที่ไหนไป ชี้แนะ ฉู่เซียนหมิ่นได้”
“ฮ่าๆๆๆ! ดูแล้วสองพี่น้องคู่นี้ต้องการฉีกหน้ากันจริงๆ แล้วล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ในเมื่อน้องสามพูดมาขนาดนี้แล้ว เช่นนั้น…ข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้วล่ะนะ!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของนาง ทันใดนั้นร่างของนางก็หายไปในพริบตา
ฉู่เซียนหมิ่นตกตะลึงและตกใจ ทำไมฉู่หลิวเยว่ถึงเคลื่อนไหวรวดเร็วขนาดนี้
พลังปราณที่อันตรายและเยือกเย็นมาจากทางด้านหลัง
ฉู่เซียนหมิ่นหันหลังกลับไปตามสัญชาตญาณและชักกระบี่ออกมาในเวลาเดียวกัน!
เงาร่างสีแดงแวบผ่านหน้า ฉู่เซียนหมิ่นแทงกระบี่ไปข้างหน้าอย่างแรงด้วยความเร็ว
กระบี่แหลมคมแทงทะลุหน้าอกของคนผู้นั้นตรงหน้าทันที!
ยังไม่ทันที่ฉู่เซียนหมิ่นจะได้ดีใจ ก็เห็นว่าเงาร่างคนผู้นั้นไม่แม้แต่จะไม่บาดเจ็บแล้ว ยังค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตาอีกด้วย”
นางรู้สึกถึงความผิดปกติทันที
นี่ไม่ใช่ฉู่หลิวเยว่ แต่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
“รู้สึกตัวช้ายิ่งนัก”
น้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นมา
ฉู่เซียนหมิ่นเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยืนห่างจากนางแค่สามก้าว แล้วกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าเรียนิ่ง
แววตาคู่นั้นมองนางราวกับว่านางเป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น
เมื่อโดนมองในลักษณะนี้ ฉู่เซียนหมิ่นก็รู้สึกว่าตัวเองเหลือตัวเล็กนิดเดียวอย่างแปลกประหลาด
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”
ผู้คนที่กำลังดูการแข่งขันต่างไม่ได้คาดหวังว่าฉู่เซียนหมิ่นจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ พวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความมึนงง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์