จั่วหมิงซีส่ายหน้า
“ไม่มีเลย พ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกวนหว่านถอนหายใจเฮือกใหญ่
ว่าแล้วเชียว…
“พวกเจ้าก็ให้ยาท่านพ่อประจำมิใช่หรือ? นานขนาดนี้แล้ว ไยท่านพ่อจักไม่เคลื่อนไหวเลย?”
ซั่งกวนหว่านขมวดคิ้วมุ่นราวงุนงงสุดขีด
เดิมทีเพื่อจัดฉากว่าท่านพ่อป่วยหนักติดเตียง พวกเขาจึงลอบวางยาพิษท่าน
ในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดคิดว่าหลังจากฆ่าซั่งกวนเยว่แล้ว พวกเขาก็จะกำจัดท่านพ่อไปด้วย และบอกกับคนภายนอกว่า เนื่องจากการตายของซั่งกวนเยว่ ท่านพ่อจึงตรอมใจตายตาม
ทว่าผลที่ได้กลับพลิกผัน และพวกเขาก็ต้องรอให้ท่านพ่อตื่นขึ้นมา
ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดใช้ยาพิษ และทำการรักษาต่อไปโดยหวังว่าท่านจะตื่นขึ้นมาในเร็ววัน
แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าท่านจะฟื้นเลย
จั่วหมิงซีละอายใจยิ่ง
“กระหม่อมมันไร้ความสามารถ”
ซั่งกวนหว่านทำหน้าบึ้งตึงจนไม่น่ามอง
หากเรื่องนี้ไม่ใช่ภารกิจรับ ที่ต้องใช้เซียนหมอคนสนิทแค่ไม่กี่คน นางคง…
จั่งหมิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวอย่างลังเล
“องค์หญิง จริงๆ แล้ว…ก่อนหน้านี้พลานามัยของฝ่าบาททรงดูดีขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้น ไม่ว่าจะลมปราณหรือชีพจรก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งด้วยเหตุนี้ หากเรายังคงดำเนินการตามรูปแบบเดิม ฝ่าบาทน่าจะทรงตื่นขึ้นในเร็ววัน…แต่แล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ อาการของฝ่าบาทก็เริ่มทรุดโทรมลงอีกครั้ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาการของฝ่าบาทก็ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ส่งผลให้พระองค์นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจนถึงทุกวันนี้…”
ซั่งกวนหว่านหน้าบูดหน้าบึ้ง
“แล้วอย่างใด? เจ้าต้องการจะพูดอันใดกันแน่?”
สีหน้าของจั่วหมิงซีดูยุ่งเหยิง เขากำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิง กระหม่อมมีการคาดเดาอย่างหนึ่งในใจ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่”
“การคาดเดาอันใด? พูดออกเสียที!”
“ก็แค่…องค์หญิง ไม่แน่ว่าอาจมีคนเข้ามาแทรกแซงแผนการณ์ในปัจจุบันของท่านก็เป็นได้?”
ซั่งกวนหว่านหันขวับไปมองเขาทันที
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
จั่วหมิงซีตอบกลับ
“ตั้งแต่ทราบว่าพลานามัยของฝ่าบาทดีขึ้น กระหม่อมก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นได้เช่นกัน และกระหม่อมก็ทำตามวิธีนั้น ซึ่งสองสามวันแรกมันได้ผลจริงๆ แต่หลังจากนั้นฝ่าบาทก็อาการทรุดลงหลายต่อหลายครั้ง กระหม่อมยืนยัน ได้ว่าไม่มีอันใดผิดปกติกับใบสั่งยาของกระหม่อม และมันก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ดังนั้น…กระหม่อมจึงสงสัยว่าอาจจะมีคนนอกล่วงรู้เข้าแล้วก็ได้”
“จะเป็นไปได้อย่างใด? ตำหนักชิงเฟิงมีคนคอยคุ้มกันตลอดเวลา แม้แต่นกก็ยังบินเข้าไปไม่ได้ อีกอย่าง ก็มีแต่พวกเจ้าสามคนที่เป็นคนดูแลท่านพ่อ ไม่มีเซียนหมอคนใดนอกจากพวกเจ้าได้รับสิทธิ์นี้อีกแล้ว…”
การเข้าออกตำหนักชิงเฟิง จะต้องได้รับอนุญาตจากนางก่อน แล้วมันจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้อย่างใด?
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อม และมันอาจไม่เป็นความจริง” จั่วหมิงซีพูดทันที “และก็…ยาชนิดนั้น…การที่ฝ่าบาทรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก”
ใบหน้าของซั่งกวนหว่านราวกับคนอมทุกข์ นางไม่ตอบเขา
ในตอนนั้นที่นางคิดวางยาคน นางคิดถึงแต่เรื่องฆ่าคนเท่านั้น และใครจะไปคิดว่าต้องมาช่วยถอนพิษให้อีกครั้งกัน?
ตอนแรกนางไม่ได้รู้สึกอันใด แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่จั่วหมิงซีพูด นางก็อดสงสัยไม่ได้
หากคิดให้รอบคอบแล้ว มันก็อาจเป็นไปได้…
“สองเดือนมานี้มีใครเข้าออกตำหนักชิงเฟิงบ้าง?”
จั่วหมิงซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“นอกจากพวกกระหม่อมสามคน ก็มีแค่พระองค์กับราชบุตรเขยกระมั้ง?”
หากคนอื่นต้องการเข้าไป พวกเขาต้องได้รับความยินยอมจากซั่งกวนหว่านก่อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ดวงตาของซั่งกวนหว่านฉายแววสงสัยใคร่รู้
หากมีคนทำเช่นนั้นจริง จะเป็นใครกันนะ?
…
มู่ชิงเห่อตอบกลับเสียงเรียบ
“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว และยืนยันได้ว่าฉู่หลิวเยว่นั้นเติบโตขึ้นในเมืองหลวงของแคว้นเย่าเฉิน แต่เนื่องจากชีพจรดั้งเดิมของนางไม่สมบูรณ์ นางจึงถูกมองว่าไร้ประโยชน์และถูกรังแก ก่อนวันเกิดครบรอบสิบสี่ปีของนาง นางได้รับความช่วยเหลือจนสามารถฟื้นฟูชีพจรดั้งเดิมของนางได้ และเริ่มเดินสายผู้ฝึกตนอย่างเป็นทางการ นางเข้าร่วมกับสำนักวิชาเพื่อฝึกฝน ก่อนที่ข้าจะไปถึงแคว้นเย่าเฉินได้ไม่นาน นอกจากข้าน้อยและเจี่ยนเฟิงฉือ นางก็ไม่รู้จักผู้ใดในราชวงศ์เทียนลิ่งเลย”
เจียงอวี่เฉิงเอนหลังพิงเก้าอี้ พลางใช้มือข้างหนึ่งเคาะโต๊ะเบาๆ
“นี่มันแปลกจริงๆ…เหตุใดหอร้อยโอสถถึงสนใจนางมากขนาดนั้น ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาเห็นแก่เจ้า แต่ตอนหลังข้าพบว่า…ดูเหมือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้น…หลังจากที่นางเข้าเมืองซีหลิงมากับเจี่ยนเฟิงฉือแล้ว นางได้ไปพบใครบ้างหรือไม่?”
มู่ชิงเห่อนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว
“ตั้งแต่ที่นางมายังซีหลิง นางก็อาศัยอยู่ในจวนมู่ตลอด ตอนนั้นข้าน้อยสั่งให้ต้วนจืออวี่ติดตามนางทุกวัน และสามารถยืนยันได้ว่านางไม่ได้ออกไปพบปะกับบุคคลน่าสงสัยเลย ทว่า…เดือนที่แล้วนางได้ย้ายออกจากจวนมู่ ได้ยินมาว่านางอาศัยอยู่ในจวนหลังเก่าของอวี้ฉือซง แต่หลังจากนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบความเป็นไปของนางแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงถูหว่างคิ้วราวใช้ความคิด
“อวี้ฉือซงเป็นอาจารย์ของนาง ย่อมไม่แปลกที่เขาจะทำเช่นนั้น…แต่อวี้ฉือซงขายเครื่องใช้ในห้องพักของเขาไปหมดแล้วมิใช่หรือ? เช่นนั้นฉู่หลิวเยว่จะอยู่อย่างใด?”
มู่ชิงเห่อลังเลอยู่พักหนึ่ง
“จวนที่ตั้งอยู่บนถนนลิ่วอวิ๋นนั้น คือ…จวนแฝดสองหลังสุดท้ายของอวี้ฉือซงในเมืองซีหลิง”
เจียงอวี่เฉิงชะงักทันที
“ความจริงแล้ว จวนนั่นเป็น…”
จวนที่ในอดีตซั่งกวนเยว่ชอบไปประทับบ่อยๆ
ก่อนที่อวี้ฉือซงจะประสบปัญหาทางการเงิน เขานำของใช้ออกไปขายหลายอย่าง แต่กลับไม่แตะต้องจวนแฝดสองหลังนี้
เพราะหลังหนึ่งเขาเก็บไว้ให้ซั่งกวนเยว่
ส่วนอีกหลังก็เก็บไว้ให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขา
ทันใดนั้นเจียงอวี่เฉิงก็เหยียดยิ้ม พลางเอ่ยอย่างมีนัยยะ
“ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบฉู่หลิวเยว่ผู้นี้มากเลยนะ”
“ตึงๆ”
“กราบทูลองค์ชายใหญ่ อวี้ฉือซง เจ้าสำนักชงซูเก๋อ มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...