ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่มัวแต่จดจ่ออยู่กับค่ายกลสีรุ้ง จนไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของถวนจื่อน้อยในอ้อมแขนเลยสักนิด
เหนือท้องฟ้าด้านบน ทัณฑ์สวรรค์กำลังโหมกระหน่ำท่ามกลางเมฆหนาทึบ และรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว!
ดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงไม่น้อยไปกว่าทัณฑ์สวรรค์ที่ผ่าใส่ฉู่หลิวเยว่ตอนหลอมกระบี่เทพเมฆาสำริดเลย!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
เหอะ…ความจริงก็แอบคิดถึงมันเหมือนกันนะ…
ย้อนกลับไปในช่วงที่ทัณฑ์สวรรค์ไม่ยอมผ่าลงมา และหายเงียบไปนาน แต่นางก็พยายามทุ่มเทสุดกำลังเพื่อเก็บเกี่ยวพวกมันให้หมด
ซึ่งถ้าตอนนี้ผู้คนที่อยู่รอบๆ รู้ว่าฉู่หลิวเยว่กำลังทำอันใด คงได้ตกตะลึงกรามค้างเป็นแน่
บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนหรือสัตว์อสูร ต่างก็รักและเกรงกลัวทัณฑ์สวรรค์กันทั้งนั้น
ซึ่งสาเหตุที่พวกเขารัก ก็เพราะพลังอันทรงพลังที่บรรจุอยู่ในนั้น ตราบเท่าที่กระตุ้นและล่อทัณฑ์สวรรค์ออกมาได้ นั่นก็หมายความว่า พวกเขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธศราตราของตัวเองได้
ส่วนที่น่ากลัวก็คือ พลังของทัณฑ์สวรรค์นั้นโหดร้ายและรุนแรงมาก ถ้าไม่ระวังให้ดี คนผู้นั้นอาจถึงชีวิตได้
เช่นเดียวกับฉู่หลิวเยว่ ที่สามารถบังคับลากทัณฑ์สวรรค์ลงมาจากฟากฟ้า แล้วยัดมันเข้าไปในอาวุธโบราณและทำให้มันเย็นลงด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งหลังเสร็จกิจแล้ว นางยังมีสติดีจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ด้วย
แต่แล้วองค์ไท่จู่ก็พูดว่า
“สาวน้อย เจ้าคงไม่คิดจะขโมยทัณฑ์สวรรค์ของผู้อื่นใช่หรือไม่…นั่นมันอาจเป็นของใครบางคนกำลังทะลวงขั้นพลังปราณอยู่ก็ได้…?”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอหนึ่งที
“องค์ไท่จู่ จากมุมมองของท่าน ข้าดูเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”
องค์ไท่จู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเงียบๆ ว่า
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ดูเหมือนว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด จะทำให้องค์ไท่จู่มีเงามืดในใจอยู่มากเลยทีเดียว…
“วางใจได้ ข้าแค่อยากรู้ว่าในนั้นมีสัตว์อสูรประเภทใดทำการทะลวงอยู่กันแน่ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอื่นใด อีกอย่าง ข้าเองก็ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วด้วย?”
ฉู่หลิวเยว่โน้มน้าวอีกฝ่ายในใจ
แม้ว่าตอนนี้อินทรีสามตาจะยังไม่สามารถฟื้นฟูกายหยาบของมันได้ แต่นางก็ยังมีซากของไท่ซวีเฟิ่งหลง และใบโพธิ์สีทองม่วงอยู่กับตัว ตราบใดที่นางหาวัตถุดิบยาเพิ่มเติมได้ นางก็สามารถหาเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อช่วยคืนร่างให้อินทรีสามตาได้
คนอื่นๆ อาจมีความปรารถนาอันแรงกล้าต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่นางไม่มี
สุดท้ายองค์ไท่จู่ก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อ อีกอย่าง…ค่ายกลสีรุ้งนี่ ต่อให้มีเจ้าเพิ่มอีกคน ก็ไม่น่าจะทะลวงได้ พี่เหลยสี่นั่นพูดถูกแล้ว ที่แห่งนี้อันตรายมาก พวกเรารอดูห่างๆ อยู่ตรงนี้ก็พอ”
ในน้ำเสียงขององค์ไท่จู่มีความจริงจังและความขึงขังปะปนอยู่
ฉู่หลิวเยว่ตอบรับในใจ
“ขอบคุณองค์ไท่จู่”
จากนั้นองค์ไท่จู่ก็ไม่ได้ตอบอันใดกลับมาอีก
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ค่ายกลครึ่งวงขนาดใหญ่สีสันสวยงาม เสมือนซีกโลกตรงหน้านาง พลันจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
นางรู้ค่ายกลนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงว่าองค์ไท่จู่จะประเมินมันสูงกว่าที่นางคิด
หรือว่ามันจะ…แข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ?
และด้วยพลังนั้น ทำให้พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้เลย แม้ว่าจะอยู่ใกล้มากก็ตาม
นอกจากแสงระยิบระยับสวยงามเหล่านั้น ก็มองไม่เห็นอย่างอื่นเลย
แม้แต่เงาจางๆ ก็ยังมองไม่เห็น
เจ้านี่มันคืออันใดกันแน่?
ฉู่หลิวเยว่ไม่ลังเลรีบเอ่ยถามอินทรีสามตาในใจ
“ตอนนี้เจ้าพอจะตรวจสอบได้หรือยังว่า ข้างในนั้นคือสัตว์อสูรชนิดใด?”
คราวนี้อินทรีสามตาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“ไม่รู้”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจ
หากพูดตามหลักแล้ว อินทรีสามตาเป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ และระดับของมันสูงก็กว่าสัตว์อสูรระดับเก้าตัวนั้นด้วย
และด้วยระยะห่างเพียงแค่นี้ มันควรจะสัมผัสถึงลมปราณของอีกฝ่ายได้
“คือ…ถ้าแม้แต่เจ้ายังไม่รู้…”
แต่เหมือนว่าอินทรีสามตาจะเดาความคิดของฉู่หลิวเยว่ได้ มันจึงรีบอธิบาย
“ค่ายกลสีรุ้งนี้เป็นสิ่งที่สัตว์อสูรระดับเก้าตัวนั้นสร้างไว้ตั้งนานแล้ว และมันก็ทรงพลังมากด้วย ซึ่งถ้าข้าเดาไม่ผิด มันคงจะใช้วิธีกลยุทธบางอย่างเสริมเข้าไปด้วย ทำให้ข้าไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของมันได้”
เจ้าหมีแผงคอทองคำตัวน้อยเองก็เป็นสัตว์อสูรระดับสูงเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรระดับเก้าแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่ลูกหมีน้อยไร้พิษสง
เดิมทีนางคิดว่าฉงฉงจะไม่กล้าออกมา!
เพราะก่อนหน้านี้เจ้ากลัวหัวหดขนาดนั้น…
“เหตุใดครู่ก่อนเจ้าถึงหวาดกลัวขนาดนั้นหือ? หื้ม? หื้ม? หรือเพราะฉงฉงแข็งแกร่งขึ้นแล้ว?”
ลูกหมีแผงคอทองคำตัวน้อยอยู่กับมู่หงอวี่มาตั้งแต่มันเกิด มู่หงอวี่จึงมักปฏิบัติกับมันเสมือนเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง
แม้ว่าตอนนี้เจ้าหมีขนทองตัวเล็กจะสูงเท่าเอวของนางแล้ว และน้ำหนักก็หนักกว่านางด้วย แต่นางก็ยังเอ็นดูและแกล้งหยอกมันเช่นนี้เสมอ
เจ้าลูกหมีเหลือบมองถวนจื่อที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย
ถวนจื่อนั้นกำลังเล่นกับปอยผมของฉู่หลิวเยว่ พลางสะบัดอุ้งเท้าไปมา
เจ้าลูกหมีตัวน้อยรีบถอนสายตาทันที และพยักหน้าตอบมู่หงอวี่อย่างลนลาน
มู่หงอวี่หัวเราะชอบใจระคนชื่นชม
“เช่นนั้นถ้าเจ้าอยากดู ก็มาดูไปพร้อมๆ กันดีกว่า!”
เพราะถ้าถึงวัยเจริญพันธุ์ มันเองก็ต้องทะลวงขั้นพลังปราณเหมือนกันมิใช่หรือ?
“เมื่อครู่นี้มัน…ปีกใช่หรือไม่?”
เย่หรานหร่านโพล่งออกมาอย่างไม่แน่ใจ
มู่หงอวี่หันไปมองนาง “ปีกหรือ? เจ้าเห็นหรือ?”
เย่หรานหร่านส่ายหน้า
“ข้า…ข้าแค่เดา…เพราะมันดูคล้ายมาก…”
“แต่ข้าว่าจริงของเจ้า!” มู่หงอวี่คิดอยู่หนึ่ง พลันฮึกเหิมขึ้นมา “น่าจะเป็นเงาของปีกที่กำลังกระพืออยู่แน่ๆ! เพียงแต่ว่ารูปร่างของมันดูแปลกไปหน่อย…ข้าไม่เคยเห็นปีกแบบนี้มาก่อนเลย”
ฉู่หลิวเยว่หันมองคนทั้งสอง
“ปีกแบบใดหรือ?”
เย่หรานหร่านยกมือขึ้น แล้วชี้ไปบนท้องฟ้า
“ก็แบบ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...