“เรื่องนี้…เกรงว่าฝ่าบาทคงยังไม่ทรงทราบ…”
หมิ่นกงกงพูดอย่างลังเล แล้วเหลือบมองผู้อาวุโสและคนอื่นๆ
“เรื่องนี้ตัดสินใจกันดีแล้วหรือ”
“สัญญาถูกเขียนไว้ และมีพยายเห็นเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่ามันถูกกำหนดไปแล้ว หมิ่นกงกงวางใจได้เลยว่าข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททราบเป็นการส่วนตัวในวันรุ่งขึ้น”
เมื่อหมิ่นกงกงเห็นว่าไม่มีใครในตระกูลฉู่อ้าปากจะอธิบาย เขาอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ เขารู้ทันทีว่าไม่ทางเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ได้แล้วจริงๆ
คิดไม่ถึง คนไร้ความสามารถของตระกูลฉู่ที่ลือว่าอ่อนแอขี้ขลาดและโดนรังแกมาตลอด จริงๆ แล้วเป็ผู้ที่เด็ดขาดและกล้าหาญ!
การตัดสัมพันธ์กับตระกูลฉู่นั้นเทียบเท่ากับเป็นการตั้งศัตรูตัวฉกาจให้กับตัวเอง!
แต่ตอนนี้ฉู่หนิงได้กลายมาเป็นหัวหน้ากรมราชองครักษ์ และฉู่หลิวเยว่ได้กลายเป็นอัจฉริยะที่ทุกคนชื่นชม ต่อให้ตระกูลฉู่ไม่พอใจเช่นไรก็ไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว
หมิ่นกงกงเป็นผู้ที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เสมอ ดังนั้นเขาจึงรีบละทิ้งความคิดของเขา จกานั้นจึงซูฮกให้ฉู่หลิวเยว่ด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าฉู่หนิงและเจ้าหนูฉู่หลิวเยว่สำหรับพิธีขึ้นบ้านใหม่! ยังมีสิ่งที่ข้าต้องไปทำ ดังนั้นข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่าเขาไม่อยากเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยวและเป็นต้นหลิวลู่ลม
“หมิ่นกงกงเดินทางกลับโดยปลอดภัยเจ้าคะ”
จากนั้นหมิ่นกงงก็อำลาผู้อาวุโสและคนอื่นๆ แล้วจากไปโดยเร็ว
ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้อยู่มากนักจึงหันหลังกลับไป
หลังจากก้าวไปหนึ่งก้าว นางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วหันกลับมาพูดว่า
“อ้อ ข้าได้ยินมาว่าหลายคนในเมืองหลวงได้ส่งของขวัญไปที่จวนของเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นของข้าทั้งหมด ดังนั้นโปรดส่งตามมาให้ข้าด้วยละกัน”
หลังจากพูดเสร็จ นางก็หันหลังกลับและจากไปอย่างสบายใจเฉิบ
ผู้อาวุโสจ้องไปที่แผ่นหลังของฉู่หลิวเยว่ เขาอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อสั่งสอนนางให้สาแก่ใจยิ่งนัก
แต่สุดท้ายเขาก็ถอยกลับและตวาดลั่นด้วยความโกรธจัด
“กลับจวน!”
ปัง!
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาด้านในกันหมดแล้ว ประตูของตระกูลฉู่ก็ถูกปิดอย่างแรง
จากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลฉู่ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในทันที!
…
“ผู้อาวุโส ฉู่หลิวเยว่โกหกหลอกลวงเก่งจริงๆ! หากความอัปยศอดสูในวันนี้ไม่ได้รับการชดใช้ ตระกูลฉู่ของเราจะอยู่เมืองหลวงได้อย่างไร!”
หลังจากกลับเข้ามาในจวน ผู้อาวุโสจึงให้ผู้ที่มีอำนาจออกสิทธิ์ออกเสียงในตระกูลอยู่ปรึกษาหารือด้วยกันต่อ
ฉู่เยี่ยนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน เพราะความโกรธที่อัดแน่นในใจ
ใบหน้าของผู้อาวุโสดูมืดมนและเขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
“ใช่! แม้ว่านางจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ก็ตาม แต่นี่ชักจะจองหองเกินไปแล้ว! วันนี้ยังกล้าทำถึงขนาดนี้และไม่รู้ว่าต่อไปนางจะทำอะไรอีก”
“ถ้าหากครั้งนี้เรายังไม่ทำอะไรและปล่อยไปแบบนี้ คนทั่วทั้งเมืองหลวงคงพูดกันปากต่อปากว่าตระกูลฉู่ไร้ความสามารถ เรื่องนี้ ข้ายอมไม่ได้เด็ดขาด”
“หึ ฉู่หลิวเยว่คงคิดว่าออกจากตระกูลฉู่ไปแล้วจะมีชีวิตสงบสุขหรือ หากไม่ทำให้นางเห็นดีกันบ้าง นางคิดว่าพวกเราไม่มีทางทำอะไรนางได้จริงๆ หรือ”
แต่ละคนในที่นี้กำลังหารือกันและเต็มไปด้วยความฮึกเหิมราวกับว่าทนไม่ไหวที่จะให้ฉู่หลิวเยว่รู้จักความร้ายกาจของพวกเขา
ผู้อาวุโสคนที่สามส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“พวกเจาอย่าลืมสิว่านางยังมีฉู่หนิง”
ทันใดนั้นพวกเขาก็สะอึก
แม่ทัพราชองครักษ์…ฉู่หนิงในตอนนี้ต่อกรด้วยยากจริงๆ
“…แล้วจะทำไม ฉู่หนิงตัวคนเดียวจะสู่พวกเราทั้งตระกูลฉู่ได้หรือ”
ฉู่เยี่ยนยิ้มชั่วร้าย ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม
“ในเมืองหลวง มีกลุ่มอำนาจและอิทธิพลหลายกลุ่มเชื่อมโยงกัน ดูเหมือนคราวนี้ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่จะพลิกชะตาขึ้นมาได้ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ในเมื่อพวกเขากล้าตัดขาดพวกเรา เช่นนั้นก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้จงได้ก็แล้วกัน!”
ประโยคนี้ทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสเป็นประกาย เขาก็เดินเอื่อยสองก้าวและในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“จริงสิ ฉู่หลิวเยว่บอกว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองมิใช่หรือ ข้าจะดูน้ำหน้านาง จะมีคนในเมื่องหลวงไปร่วมงานสักกี่คน”
…
ฉู่หลิวเยว่ไปที่บ้านหลังใหม่ผู้เดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์