เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 729

ฉู่หลิวเพิ่งหมุนตัวจากไป แต่จู้หงกลับตะโกนเรียกขึ้นมา

“ช้าก่อน!”

ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เหตุใดหรือ? ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?”

จู้หงขมวดคิ้วแน่น แล้วชี้ไปที่ทิศทางอีกฝั่งอย่างลังเล

“ความจริงแล้ว…ตอนที่พวกเรามาถึง พวกเราเจอทหารม้าทมิฬกลุ่มหนึ่ง พวกเขามีประมาณสิบกว่าคน สถานการณ์ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก…ตอนนั้นระยะห่างพวกเราไกลกันเกินไป พวกเราจึงคลาดจากเขา และข้าก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขาเป็นอย่างใดบ้าง…”

ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย

“เจ้าอยากให้พวกเราไปช่วยพวกเขาหรือ?”

จู้หงลังเลเล็กน้อย

ตอนแรกเขาไม่ได้มีความคิดนี้ แต่เมื่อครู่เขาเห็นว่าพี่เหลยสี่มีฝีมือแข็งแกร่ง และไม่สามารถประเมินฝีมือของฉู่หลิวเยว่ต่ำไปได้ ดังนั้นเขาจึงมีความคิดนี้เกิดขึ้น

ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารม้าทมิฬเหล่านั้น เพียงแต่ว่าถ้าพวกเขาจะมาเสียชีวิตเช่นนี้มันก็น่าเสียดายยิ่งนัก

แต่…เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถบังคับให้คนอื่นไปทำในสิ่งที่ไม่อยากทำไม่ได้

สถานที่เช่นนี้…กว่าจะปกป้องตัวเองได้นั้นก็เป็นเรื่องยากลำบากแล้ว ใครที่ไหนจะมีกำลังเหลือเฟือไปช่วยเหลือคนอื่น?

หากเขามีฝีมือ มีความสามารถ เขาก็จะทำเอง

แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาเองก็ยังต้องพึ่งพาให้ฉู่หลิวเยว่ช่วยเหลืออยู่เลย ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีชีวิตรอดมาแล้ว

แค่นี้ก็เป็นบุญคุณมหาศาลแล้ว เขาจะไปขอร้องให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้นได้อย่างใด?

“ไม่ใช่…”

จู้หงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่ายหน้า แต่เขายังไม่ทันได้พูดจนจบ ฉู่หลิวเยว่ก็พูดแทรกขึ้น

“พวกเขาอยู่ที่ไหน?”

“อันใดนะ?”

จู้หงมองไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างประหลาดใจ เขาตั้งตัวไม่ทันอยู่ครู่หนึ่ง

ฉู่หลิวเยว่หันมองสีหน้าของเขา ทำไมนางจะมองไม่ออกว่าเขาคิดอันใดอยู่?

“ในกลุ่มของพวกเรามีรองแม่ทัพทหารม้าทมิฬอย่างมู่ชิงเห่ออยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์หรือเหตุผลล้วนต้องไปช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน”

เมื่อพูดจบนางก็หันไปมองทางพี่เหลยสี่

“พี่ใหญ่เหลย รบกวนพี่ไปเชิญพวกเขามาเถิด แล้วพวกเราจะไปได้พร้อมกัน”

“ขอรับ!”

ความจริงแล้วพี่เหลยสี่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แต่ในเมื่อฝ่าบาทมีแผน เช่นนั้นมันคือภารกิจที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

พี่เหลยสี่หมุนตัวแล้ววิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าพี่เหลยสี่วิ่งออกไปแล้ว ในที่สุดจู้หงถึงได้สติคืนมา เขามองฉู่หลิวเยว่อย่างตื่นตะลึง

“เจ้า…เจ้าจะไปจริงๆ หรือ?”

ฉู่หลิวเยว่อาจจะไม่รู้ ว่าถ้าไปช่วยคนที่อยู่ที่นั่นนางจะต้องเปลืองพละกำลังมากขนาดไหน

“เหตุใดถึงไม่ไปล่ะ?”

มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตากระจ่างใส ระหว่างคิ้วก็ดูผ่อนคลายอย่างมาก

ทหารม้าทมิฬเหล่านี้ เป็นทหารที่มู่ชิงเห่อนำทัพออกมา เมื่อคิดให้ดีแล้ว ทหารเหล่านี้ก็เคยเป็นคนของนางมาก่อน

ซั่งกวนหว่านต้องการใช้คนเหล่านี้ กลืนกินพลังของพวกเขาเพื่อแสวงหาอนาคตของตนเอง…

แต่ก็ต้องมาถามนางก่อนว่านางยอมหรือไม่!

จู้หงมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเลื่อนลอย

เห็นได้ชัดว่านางเป็นสาวงามสะพรั่ง ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่เล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไม บนร่างกายของนางจึงมีรัศมีสูงส่ง ราวกับว่านางแค่มองลงมาบนโลกเท่านั้น!

ทันใดนั้นจู้หงก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น

คล้ายกับเมื่อนางพูดว่าจะไปช่วย ก็มั่นใจได้เลยว่านางจะสามารถช่วยได้อย่างแน่นอน!

รัศมีของความสูงศักดิ์และเด็ดเดี่ยวที่ออกมาจากกระดูกดำไม่ใช่ว่าใครจะมีได้

แต่ฉู่หลิวเยว่มีฐานะธรรมดาไม่ใช่หรือ?

แต่ดูจากตอนนี้นางไม่เหมือนกับข่าวลือเลย

ก่อนหน้านี้เขายังเคยบอกว่าจะดูแลคนของสำนักชงซูเก๋อด้วย…ทันใดนั้นใบหน้าของจู้หงก็แดงวาบขึ้นมา

เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดจะประเมินฉู่หลิวเยว่ต่ำไปแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานพี่เหลยสี่ก็ตามคนที่เหลือมาทั้งหมด

“รองแม่ทัพมู่ไม่ต้องเกรงใจ”

จู้หงรีบพูดขึ้นทันที

เมื่อพูดจบ เขาก็เตรียมตัวสาวเท้าเดินทางไปที่นั่น

“ช้าก่อน!”

ทันใดนั้นน้ำเสียงหมดความอดทนก็ดังขึ้น

คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสชิวซี

ใบหน้าของเขาย่ำแย่อย่างมาก เขามองหน้ามู่ชิงเห่อแล้วพูดว่า

“รองแม่ทัพมู่ ท่านจะไปช่วยคนพวกนี้ตอนนี้จริงๆ น่ะหรือ? หรือว่าเจ้าลืมไปแล้ว ภารกิจที่เร่งด่วนของพวกเราคือการตามหาองค์หญิงสาม หากตอนนี้ไปช่วยทหารม้าทมิฬกันหมด แล้วองค์หญิงสามจะทำอย่างใด? หากเราตามหาองค์หญิงสามล่าช้าจนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาเล่า รองแม่ทัพมู่ เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?”

ใบหน้าของมู่ชิงเห่อเย็นชาเหมือนธารน้ำแข็งไม่เปลี่ยนแปลง ในที่สุดด้านโหดเหี้ยม และหมดความอดทนของเขาก็ปรากฏขึ้น

“ข้าไม่เคยพูดมาก่อนว่าจะไปตามหาองค์หญิงสาม แต่ตอนนี้ไม่มีเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับองค์หญิงสามเลย ถ้าจะให้หาแล้วจะไปหาจากที่ใด? ข้าเป็นรองแม่ทัพทหารม้าทมิฬ แน่นอนว่าข้ามีหน้าที่รับผิดชอบช่วยเหลือทหารใต้บังคับบัญชาของตนเอง! ผู้อาวุโสชิวซีเป็นห่วงองค์หญิงสามขนาดนี้ เช่นนั้นก็ไปหาด้วยตนเองเถอะ!”

“เจ้า…“

ผู้อาวุโสชิวซีหน้าแดงสลับขาว ในขณะที่เขากำลังจะตะโกนด่าเสียงดัง แต่เขาก็เห็นแววตาดุร้าย และเย็นชาของมู่ชิงเห่อ หัวใจจึงรู้สึกสั่นสะท้าน ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป

“หากผู้อาวุโสชิวซีไม่ไปตามหาองค์หญิงสามด้วยตนเองก็ตามพวกเรามา แต่ว่าหลังจากนี้รบกวนท่านอย่าได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ควรทำสิ่งใดไม่ควรทำสิ่งใด พวกเราล้วนรู้ดี ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสชิวซีมาชี้แนะ”

คำพูดของมู่ชิงเห่อไม่มีความเกรงใจอย่างมาก และไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสชิวซีเลยแม้แต่น้อย

ผู้อาวุโสชิวซีไม่เคยถูกหักหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้มาก่อน ตอนนั้นจึงทำได้เพียงเก็บกักความรู้สึกเคียดแค้นเอาไว้

เขามองไปทางเจียงอวี่เฉิง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต้องการที่จะพูดสิ่งใดออกไป

เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ฝั่งมู่ชิงเห่อ

ผู้อาวุโสชิวซีเคียดแค้นอย่างมาก

ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา มู่ชิงเห่อเก็บตัวเงียบไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจมาตลอด เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นคนสนิทขององค์หญิงใหญ่มาก่อน ดังนั้นเขาจึงระวังคำพูดและการกระทำอยู่เสมอ

ผู้อาวุโสชิวซีจึงรู้สึกว่าเขาอยู่เหนือกว่ามู่ชิงเห่อเสมอ

คิดไม่ถึงว่า เมื่อเขาแข็งข้อขึ้นมา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด

มู่ชิงเห่อมองไปยังจู้หง

“นำทางไปเถิด”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์