ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 80

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้น นางพบว่าฉู่หนิงได้กลับมาแล้ว และเขาก็กำลังรอนางอยู่ที่ห้องโถงพร้อมอาหารเช้าพอดี

นางเคยคุยกับฉู่หนิงเรื่องย้ายบ้านมาก่อน ดังนั้นฉู่หนิงจึงรู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาบ้างแล้ว

“ทำไมท่านพ่อกลับมาเร็วจัง ฝ่าบาทไม่ได้บอกให้ท่านอยู่ปรึกษาหาหรือตอนดึกหรือเจ้าคะ”

ฉู่หนิงมองนางด้วยความรักและเอ็นดู

“มากินข้าวเถอะ จริงๆ แล้วพ่อกลับมาตอนกลางดึก แต่ไม่ได้เรียกเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าหลับแล้ว”

ฉู่หลิวเยว่นั่งลงข้างเขา นางมองดูอาหารเช้าร้อนๆ และพูดติดตลกว่า

“ตอนนี้ท่านพ่อเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว อาหารมื้อนี้ช่างดูหรูหรายิ่งนัก!”

ฉู่หนิงยกมือขึ้นเหมือนอยากจะลูบหัวนาง กลับหยุดชะงัก เขาก็ชักมือกลับและถอนหายใจ

“สำหรับพ่อ เจ้าสำคัญที่สุด เมื่อวานเป็นวันปักปิ่นของเจ้า ตอนแรกพ่อกะว่าหลังจากคุยกับฝ่าบาทเสร็จแล้วจะรีบกลับมา กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะให้อยู่คุยต่อจนดึกดื่น ทั้งยังมีฝนตกหนักอีก พ่อก็เลยกลับมาซะดึกเลย”

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบในใจ

“เมื่อวานพ่อทำบะหมี่อายุยืนให้เยว่เอ๋อร์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

ฉู่หนิงส่ายหน้าเป็นการขอโทษด้วยความรู้สึกเสียใจ

“น่าเสียดายที่พ่อไม่สามารถทำพิธีสำคัญให้กับเยว่เอ๋อร์ได้”

“ท่านพ่อได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่าง ท่านพ่อยังตัดขาดกับตระกูลฉู่ตามที่สัญญากับเยว่เอ๋อร์ แค่นี้เยว่เอ๋อร์ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”

ฉู่หนิงแตกต่างจากนาง เพราะเขามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อตระกูลฉู่มากกว่า

เมื่อเขาได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วยอมตกปากรับคำทันที

“เราเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก่อน และการหันหลังให้กับตระกูลฉู่ก็มีแต่จะทำให้เลวร้ายลง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่น!”

ฉู่หนิงหัวเราะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“พ่อคิดไม่ถึงเลยว่า ไม่เพียงแต่ชีพจรเดิมของเยว่เอ๋อร์จะได้รับการฟื้นฟู เรายังมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อีกด้วย เจ้าไม่ต้องกังวล พ่อได้ให้ลูกน้องส่งคำเชิญไปแล้ว ตอนเที่ยงจะจัดฉลองให้เยว่เอ๋อร์ที่หออิ๋งปินกัน”

สถานะของเขาตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม คนที่เคยมีสัมพันธไมตรีต่อกันเมื่อหลายปีก่อนก็กลับมา เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องง่ายดาย

“เยว่เอ๋อร์คิดว่าควรจัดโต๊ะกี่โต๊ะดี พ่อให้จ้าวหมิงจัดสักสิบโต๊ะพอหรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่ยกชามโจ๊กขึ้นมา

“ให้ท่านพ่อทำตามใจเถิด”

“เช่นนั้นก็จัดสิบโต๊ะไปก่อน ไม่พอค่อยเพิ่มทีหลัง”

ขณะนั้นเอง ชายในชุดเกราะขององครักษ์ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู

“คารวะผู้บัญชาการ”

“จ้าวหมิง เจ้าเคยติดต่อกับโรงเตี๊ยมอิ๋งปินหรือไม่” ฉู่หนิงถามด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของจ้าวหมิงมีความลังเลเล็กน้อย

“ผู้บัญชาการ ทางโรงเตี๊ยมอิ๋งปินบอกว่าวันนี้แขกเต็มแล้ว ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงให้ได้แล้วขอรับ…”

รอยยิ้มของฉู่หนิงสลดลงเล็กน้อย

“เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นก็ได้ โรงเตี๊ยมชุนซิ่งก็ไม่เลว”

จ้าวหมิงยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม

“…ผู้บัญชาการ ข้าน้อยก็ได้ไปถามโรงเตี๊ยมชุนซิ่งมาแล้วเหมือนกัน พวกเขาบอกว่าวันนี้ไม่ว่าง โรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเต็มหมดแล้วขอรับ…”

ฉู่หนิงก็พอจะตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้

“แสดงว่าพวกเขาไม่ต้อนรับใช่หรือไม่”

จ้าวหมิงไม่กล้าพูดออกมา

อันที่จริงเขมไม่ได้แค่เข้าไปถามโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แม้กระทั่งร้านเล็กๆ ธรรมดาเขาก็ไปถามมาหมดแล้ว

ตอนแรกที่ได้ยินว่าจะจัดงานเลี้ยง พวกเขาต่างทำตัวสุภาพมาก พอได้ยินว่าคนที่จะจัดงานคือฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ ก็ปฏิเสธทันทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาเหมือนกันหมดราวกับว่าได้มีการเจรจากันอย่างดีมาแล้ว

ฉู่หนิงพลันมีสีหน้าเย็นชาแล้วค่อยๆ กำหมัดแน่น

ลู่เหยายิ้มอย่างเยือกเย็น

“พวกมันจะมีคำว่าต่อไปหรือไม่ มันก็ไม่แน่หรอก”

“ท่านพ่อ อย่าถามอีกเลย โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าได้รับสินบนบางอย่างมา หรือต่อให้ไม่ได้รับสินบนก็ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับตระกูลฉู่หรอกเจ้าค่ะ”

ฉู่หลิวเยว่ดื่มโจ๊กอย่างใจเย็นและเช็ดมุมปาก

ทว่าฉู่หนิงกลับขมวดคิ้ว

ไหนบอกว่าจะดื่มฉลองกัน แต่ตอนนี้เกรงว่าจะจัดงานฉลองไม่ได้แล้ว

หากพูดออกไปก็เกรงว่าคนในเมืองหลวงจะหัวเราะเยาะเอา

“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป” ฉู่หนิงไม่ต้องการให้ลูกสาวของเขาได้รับความไม่ยุติธรรมอีกต่อไป “หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะไปเอง…”

ที่เขาพูดไปแบบนั้นเพราะเขาคือผู้บัญชาการราชองครักษ์ พวกเขาคงไม่ทำให้เขาเสียหน้าหรอก

ฉู่หลิวเยว่จับแขนเขาไว้แล้วส่ายหน้า

“ท่านพ่อไม่ต้องออกหน้าหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ทุกคนกำลังจับตามองเราอยู่ เราทำเช่นนี้ก็เหมือนกับเราแพ้พวกเขาไปหนึ่งก้าว”

“หรือจะปล่อยไปทั้งเช่นนี้น่ะหรือ”

“ไม่ พวกเราต้องรอ”

“รอ?”

“งานดื่มฉลองไม่สำคัญ ที่สำคัญคือผู้ที่มาร่วมงานต่างหาก”

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองสีของท้องฟ้า

“ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยาม จากเวลาที่ท่านนัดเอาไว้ มาดูกันว่าคราวนี้ใครจะมา”

Next

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์