เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้น นางพบว่าฉู่หนิงได้กลับมาแล้ว และเขาก็กำลังรอนางอยู่ที่ห้องโถงพร้อมอาหารเช้าพอดี
นางเคยคุยกับฉู่หนิงเรื่องย้ายบ้านมาก่อน ดังนั้นฉู่หนิงจึงรู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาบ้างแล้ว
“ทำไมท่านพ่อกลับมาเร็วจัง ฝ่าบาทไม่ได้บอกให้ท่านอยู่ปรึกษาหาหรือตอนดึกหรือเจ้าคะ”
ฉู่หนิงมองนางด้วยความรักและเอ็นดู
“มากินข้าวเถอะ จริงๆ แล้วพ่อกลับมาตอนกลางดึก แต่ไม่ได้เรียกเจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าหลับแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่นั่งลงข้างเขา นางมองดูอาหารเช้าร้อนๆ และพูดติดตลกว่า
“ตอนนี้ท่านพ่อเป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว อาหารมื้อนี้ช่างดูหรูหรายิ่งนัก!”
ฉู่หนิงยกมือขึ้นเหมือนอยากจะลูบหัวนาง กลับหยุดชะงัก เขาก็ชักมือกลับและถอนหายใจ
“สำหรับพ่อ เจ้าสำคัญที่สุด เมื่อวานเป็นวันปักปิ่นของเจ้า ตอนแรกพ่อกะว่าหลังจากคุยกับฝ่าบาทเสร็จแล้วจะรีบกลับมา กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะให้อยู่คุยต่อจนดึกดื่น ทั้งยังมีฝนตกหนักอีก พ่อก็เลยกลับมาซะดึกเลย”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบในใจ
“เมื่อวานพ่อทำบะหมี่อายุยืนให้เยว่เอ๋อร์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ฉู่หนิงส่ายหน้าเป็นการขอโทษด้วยความรู้สึกเสียใจ
“น่าเสียดายที่พ่อไม่สามารถทำพิธีสำคัญให้กับเยว่เอ๋อร์ได้”
“ท่านพ่อได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์แล้ว นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว อีกอย่าง ท่านพ่อยังตัดขาดกับตระกูลฉู่ตามที่สัญญากับเยว่เอ๋อร์ แค่นี้เยว่เอ๋อร์ก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงแตกต่างจากนาง เพราะเขามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อตระกูลฉู่มากกว่า
เมื่อเขาได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วยอมตกปากรับคำทันที
“เราเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก่อน และการหันหลังให้กับตระกูลฉู่ก็มีแต่จะทำให้เลวร้ายลง ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่น!”
ฉู่หนิงหัวเราะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“พ่อคิดไม่ถึงเลยว่า ไม่เพียงแต่ชีพจรเดิมของเยว่เอ๋อร์จะได้รับการฟื้นฟู เรายังมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อีกด้วย เจ้าไม่ต้องกังวล พ่อได้ให้ลูกน้องส่งคำเชิญไปแล้ว ตอนเที่ยงจะจัดฉลองให้เยว่เอ๋อร์ที่หออิ๋งปินกัน”
สถานะของเขาตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม คนที่เคยมีสัมพันธไมตรีต่อกันเมื่อหลายปีก่อนก็กลับมา เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องง่ายดาย
“เยว่เอ๋อร์คิดว่าควรจัดโต๊ะกี่โต๊ะดี พ่อให้จ้าวหมิงจัดสักสิบโต๊ะพอหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ยกชามโจ๊กขึ้นมา
“ให้ท่านพ่อทำตามใจเถิด”
“เช่นนั้นก็จัดสิบโต๊ะไปก่อน ไม่พอค่อยเพิ่มทีหลัง”
ขณะนั้นเอง ชายในชุดเกราะขององครักษ์ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
“คารวะผู้บัญชาการ”
“จ้าวหมิง เจ้าเคยติดต่อกับโรงเตี๊ยมอิ๋งปินหรือไม่” ฉู่หนิงถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของจ้าวหมิงมีความลังเลเล็กน้อย
“ผู้บัญชาการ ทางโรงเตี๊ยมอิ๋งปินบอกว่าวันนี้แขกเต็มแล้ว ไม่สามารถจัดงานเลี้ยงให้ได้แล้วขอรับ…”
รอยยิ้มของฉู่หนิงสลดลงเล็กน้อย
“เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นก็ได้ โรงเตี๊ยมชุนซิ่งก็ไม่เลว”
จ้าวหมิงยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม
“…ผู้บัญชาการ ข้าน้อยก็ได้ไปถามโรงเตี๊ยมชุนซิ่งมาแล้วเหมือนกัน พวกเขาบอกว่าวันนี้ไม่ว่าง โรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเต็มหมดแล้วขอรับ…”
ฉู่หนิงก็พอจะตระหนักถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“แสดงว่าพวกเขาไม่ต้อนรับใช่หรือไม่”
จ้าวหมิงไม่กล้าพูดออกมา
อันที่จริงเขมไม่ได้แค่เข้าไปถามโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แม้กระทั่งร้านเล็กๆ ธรรมดาเขาก็ไปถามมาหมดแล้ว
ตอนแรกที่ได้ยินว่าจะจัดงานเลี้ยง พวกเขาต่างทำตัวสุภาพมาก พอได้ยินว่าคนที่จะจัดงานคือฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ ก็ปฏิเสธทันทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ทุกคนต่างมีปฏิกิริยาเหมือนกันหมดราวกับว่าได้มีการเจรจากันอย่างดีมาแล้ว
ฉู่หนิงพลันมีสีหน้าเย็นชาแล้วค่อยๆ กำหมัดแน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์