เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 837

ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งงานขององค์หญิงสามและคุณชายใหญ่แล้ว อีกห้าวันสุดท้ายเท่านั้น

ถ้าพูดตามหลักการแล้วทุกคนควรจะยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับวันแห่งการเฉลิมฉลอง

แต่บรรยากาศในเมืองซีหลิงกลับมืดครึ้มอย่างยิ่งอีกทั้งมืดมนอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาได้

แม้กระทั่งถนนการค้าเส้นที่คึกคักมากที่สุด ก็ยังเงียบเหงาขึ้นอย่างมาก

นั่นเป็นเพราะช่วงนี้ที่เมืองซีหลิงเกิดเรื่องเลวร้ายติดต่อกันหลายเรื่อง

…ลูกศิษย์จากสำนักเรียนได้หายตัวไปอย่างลึกลับ

และประเด็นสำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีเส้นชีพจรตี้จิง!

แรกเริ่มมีสำนักหลิงอวิ๋นจงหายตัวไปสามคน แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจ แต่พวกเขาก็คิดว่าเพราะสำนักหลิงอวิ๋นจงได้ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเอาไว้ ถึงได้เกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้

ต่อมาองค์หญิงสามได้ส่งทหารม้าทมิฬมา สำนักหลิงอวิ๋นจงก็ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอันใดอีก ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก

แต่หลังจากนั้นไม่นาน วันเวลาที่แสนสงบสุขก็พลันหายไป

เพราะว่าสำนักอื่นๆ ก็เกิดเรื่องเช่นเดียวกันนี้ขึ้นเหมือนกัน!

อีกทั้งผู้ที่ประสบภัยล้วนเป็นศิษย์สำนักของเมืองซีหลิง พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะและมีฝีมือที่โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้นับว่าอยู่ในสำนักเรียนลำดับต้นๆ ของเมือง

อย่างสำนักหุบเขาเขี้ยวมังกร ก็อยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด

ในทางตรงกันข้ามสำนักเรียนที่อยู่ในระดับเดียวกับสำนักหลิงอวิ๋นจงก็เริ่มเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง

ตอนนี้ศิษย์ที่มีชีพจรตี้จิงจากหลากหลายสำนักหายตัวไปเกินห้าคน ในที่สุดผู้คนก็เริ่มตระหนักถึงความร้ายเรื่องของปัญหานี้แล้ว แต่ว่าเรื่องราวมันหนักหนากว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้มาก!

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเล็งเป้าหมายในการโจมตี!

แม้ว่าสำนักเหล่านั้นจะระมัดระวังมากขึ้นแล้วก็ตาม และเริ่มหาเบาะแสจากทั่วทุกทิศทาง แต่ก็คว้าน้ำเหลวอยู่เสมอ

อีกทั้งหลังจากที่สูญเสียคนไปหนึ่งถึงสองคน ฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนสำนักที่จะลงมือใหม่ พฤติกรรมในการลงมือนั้นไม่สามารถคาดเดาได้

เขาเป็นใครกันแน่ ถึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้แนบเนียนขนาดนี้?

แค่คิดพวกเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังไปทั้งหมดแล้ว!

ในตอนนั้นเอง คนทั่วทั้งเมืองซีหลิงก็ต้องอยู่ในอันตรายแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรจะถึงตาของตัวเอง!

โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรวัยหนุ่มสาวที่มีเส้นชีพจรตี้จิง ก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น

แม้ว่าพรสวรรค์ของพวกเขาจะโดดเด่น แต่ระดับฝีมือของพวกเขาในตอนนี้มีจำกัด เขาไม่สามารถฝึกตนเองให้เป็นผู้แข็งแกร่งได้ภายในพริบตา แล้วพวกเขาจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างใดเล่า?

แม้ว่าองค์หญิงสามจะส่งมู่ชิงเห่อและคนอื่นๆ ออกไปตรวจสอบสถานการณ์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถค้นหาตัวฆาตกรเจอ และเหมือนว่าจะไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย

ดังนั้นต่อให้งานแต่งงานขององค์หญิงสามและเจียงอวี่เฉิงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ท้องฟ้าเหนือเมืองซี

หลิงก็เหมือนจะมีเมฆดำปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น

วังหลวง

เจียงอวี่เฉิงเดินตรงไปยังตำหนักฮวาหยาง

ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ รอบกายแผ่รัศมีเย็นยะเยือก ทำให้คนในวังจำนวนไม่น้อยต่างหวาดกลัวและรีบทำความเคารพ

แต่เจียงอวี่เฉิงกลับไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น เขาเดินตรงไปภายในตำหนักอย่างรวดเร็ว

ฉานอี้ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นว่าเจียงอวี่เฉิงมา นางก็รีบทำความเคารพทันที

“คารวะคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ”

เจียงอวี่เฉิงเอ่ยถามเสียงเย็น

“ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ใด?”

ฉานอี้ตอบ

“วันนี้ฝ่าบาทกลับมาพักผ่อนที่ตำหนักเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังงีบหลับอยู่”

เจียงอวี่เฉิงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบสาวเท้าเข้าไปด้านในทันที

ฉานอี้รีบเดินขึ้นไปขวางทางเขา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ สีหน้าดูหนักแน่นอยู่หลายส่วน

“คุณชายใหญ่ ช่วงนี้ฝ่าบาทยุ่งวุ่นวายกับราชกิจมากมาย แล้วยังต้องจัดการกับเรื่องน้อยใหญ่ภายในวัง ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพักผ่อนให้ดี ตอนนี้กว่าสามารถหาเวลาพักผ่อนได้ ท่านกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากมีธุระอันใด บ่าวจะเป็นคนกราบทูลให้ เป็นอย่างใด?”

เจียงอวี่เฉิงหัวเราะเสียงเย็น

“นางเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าจะไม่รู้ได้อย่างใด?”

“คุณชายใหญ่เป็นอันใดไปน่ะ เหตุใดวันนี้ถึงได้โมโหขนาดนี้เล่า?”

“ใครจะไปรู้กันล่ะ…แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน! ก่อนหน้านี้ที่คุณชายใหญ่มาที่นี่ไม่เคยทำตัวเช่นนี้กับฉานอี้เลย ดูผิวเผินแล้วนี่เป็นการลงโทษฉานอี้ แต่ความจริงแล้วเป็นการตบหน้าองค์หญิงสามอยู่ต่างหาก!”

“นั่นสิ! มีใครไม่รู้บ้างว่าฉานอี้เป็นคนสนิทที่องค์หญิงสามไว้ใจที่สุด…เหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะเป็นงานแต่งงานแล้ว เหตุใดเขาจะต้องก่อความวุ่นวายเช่นนี้ด้วยเล่า…”

“จุ๊ๆ อย่าเพิ่งเอ็ดไป หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ไปกันเถอะ แยกย้าย!”

นางกำนัลในตำหนักฮวาหยางล้วนเป็นคนฉลาด รู้ว่าอันใดควรพูด อันใดไม่ควรพูด

ดังนั้นเจียงอวี่เฉิงจึงไม่สนใจสิ่งที่เขาได้ทำไปเมื่อสักครู่นี้ เพราะเรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอน

อีกทั้งในตอนนี้เขาไม่สามารถทนไหวได้อีกต่อไปแล้ว!

เมื่อเดินเข้าห้องไปก็เห็นว่าซั่งกวนหว่านกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่หน้ากระจก

หลังจากที่นางกลับมาแล้ว นางก็กำลังจะถอดหน้ากากออก แต่ทันใดนั้นเองก็ได้ยินว่าเจียงอวี่เฉิงมา นางจึงต้องแปะหน้ากากอีกครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง

ตอนที่เจียงอวี่เฉิงเข้ามา เห็นรอยแผลครึ่งหนึ่งบนใบหน้าของนางพอดี

เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว แต่บาดแผลบนใบหน้าของซั่งกวนหว่านก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย บางแห่งยังมีหนองปรากฏขึ้นมา ดูน่าเกลียดอย่างมาก

เจียงอวี่เฉิงจึงอดขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่ได้

ในนาทีต่อมา ซั่งกวนหว่านก็ติดหน้ากากเสร็จพอดี นางจึงหันกลับมามอง

ในตอนนี้ใบหน้าของนางเรียบเนียนดังเดิมแล้ว ไม่มีอันใดแตกต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

แต่เจียงอวี่เฉิงก็รู้ว่าใบหน้าที่แท้จริงหลังหน้ากากนั้นเป็นอย่างใด เมื่อมองไปแล้วจึงรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม

แต่เหมือนว่าซั่งกวนหว่านจะไม่สามารถจับสังเกตนี้ได้เลยแม้แต่น้อย นางเห็นเพียงความโกรธอยู่ระหว่างคิ้วของเจียงอวี่เฉิง นางจะขมวดคิ้วแล้วถามอย่างเหนื่อยล้าว่า

“เจ้ามีอันใดงั้นหรือ ถึงได้เข้ามาอย่างอุกอาจเช่นนี้? ขอบอกก่อนว่า ตอนนี้ข้าเหนื่อยมาก ไม่มีแรงจะมาเถียงกับเจ้าหรอกนะ หากเจ้าไม่ได้มีเรื่องด่วนละก็ ค่อยคุยกันวันหลังเถิด”

เจียงอวี่เฉิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น

“เหตุใดเจ้าถึงเหนื่อย เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”

ซั่งกวนหว่านชะงักไปเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้ข้าได้เตือนเจ้าไปแล้วรอบหนึ่ง ว่าให้หยุดได้แล้ว! ตอนนี้เจ้าคิดจะทำเรื่องอันใดกันแน่? นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์