“ใช่แล้ว! เราทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ แน่นอนว่าเป็นพรรคพวกเดียวกันแล้ว ในเมื่อเจ้าเลี้ยงเหล้าพวกข้าก็ต้องฉลองให้เต็มที่ใช่ไหมล่ะ!”
ซือหยางไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าตัวเองเผลอขายซือถิงเสียแล้ว เขากระโดดไปข้างหน้าฉู่หลิวเยว่และมองด้วยความประหลาดใจ
“แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าใจกว้างเกินไปแล้วถึงขนาดเหมาโรงเตี๊ยมเฟิ่งหวง หมดเงินไปไม่น้อยเลยใช่หรือไม่”
แม้เขาจะเป็นถึงคุณชายห้าแห่งตระกูลซือ ก็มิใช่ว่าปกตินึกอยากจะมาก็มาได้
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเหยียนเก๋อ
“อันที่จริงเรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณชายรองเหยียนที่ให้ความช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินว่า ‘เจินเป่าเก๋อ’ ซือหยางและคนอื่นต่างพากันอึ้ง คราวนี้จึงรู้ตัวว่าเหยียนเก๋อยืนอยู่ข้างๆ ทันที
พวกเขาจึงรีบคำนับทำความเคารพเหยีบนเก๋อ
“คุณชายรองเหยียน!”
เหยียนเก๋อโบกมือแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี วันนี้เป็นวันของคุณหนูหลิวเยว่ต่างหาก ข้าก็เป็นเค่ตัวแทนเจินเป่าเก๋อมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเฉยๆ!”
ได้ยินดังนั้นทุกคนจึงแอบพูดไม่ออกไปเหมือนกัน
เจินเป่าเก๋อมีสถานะเยี่ยงไรกันแน่
ในเมืองหลวง มีคนเพียงไม่กี่คนที่กล้ามีเรื่องกับพวกเขา!
คราวที่แล้วได้ยินมาว่าผิดสัญญากับตระกูลใหญ่ๆ แล้วแต่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรตามมา!
มาแสดงความยินดีในนามเจินเป่าเก๋อหรือ
พูดง่ายดีนี่!
หากคำพูดนี้หลุดออกไป ใครที่ไม่รู้ก็คงจะคิดว่าเจินเป่าเก๋อหนุนหลังให้ฉู่หลิวเยว่
ซือหยางและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะมองฉู่หลิวเยว่อีกหลายๆ ครั้ง
เมื่อก่อนมีแต่คนพูดว่าฉู่หลิวเยว่เป็นคนไร้ความสามารถ แต่นางกลับสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้คะแนนดีเยี่ยมอีกต่างหาก!
แม้จะตัดขาดกับตระกูลฉู่แล้ว แต่ชั่วพริบตาก็มีผู้อุปถัมภ์อย่างเจินเป่าเก๋อแล้ว
ข่าวลือเกี่ยวกับฉู่หลิวเยว่พวกนั้นอาจจะมีความจริงแค่ไม่กี่ประโยคก็ได้
คนคนนี้…ไม่รู้ว่ายังเหลือไพ่อีกกี่ใบ!
“ซือหยาง มัวบื้ออะไรอยู่ ยังไม่รีบแนะนำให้พวกเราอีก”
เด็กหนุ่มข้างๆ กระทุ้งศอกใส่ซือหยางแล้วส่งสายตาให้เขา
“ในวันนั้นมีเพียงเจ้าและซิถิงเท่านั้นที่เห็นนาง เราอยู่ข้างหลังมาไม่ทัน!”
“มาๆ ข้าจะแนะนำให้ทีละคน นี่คือโอวเจิ้น!”
ซือหยางตอบสนองทันทีและแนะนำให้พวกเขารู้จักฉู่หลิวเยว่ทีละคน
เมื่อทางด้านนี้คุยกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีพวกหนุ่มสาวอีกหลายๆ คนเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซือหยางเป็นคนพาพวกเขามา
ไม่สิ ย่อมบอกว่าซือถิงเชิญมาต่างหาก
แม้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นปรมาจารย์ชั้นเรียนเดียวกันในสำนักเทียนลู่ แต่ฐานะของพวกเขาต่างก็ไม่ธรรมดา
ส่วนใหญ่เป็นทายาทของตระกูลขุนนางและบางคนแม้จะมาจากนอกเมืองหลวง แต่ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังค่อนข้างดีมากเหมือนกัน
ถึงอย่างไรการที่จะเป็นปรมาจารย์ได้นั่นจำเป็นต้องมีทรัพยากรสนับสนุนอย่างมหาศาล คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเลี้ยงบุตรให้เป็นปรมาจารย์ได้ง่ายๆ
พวกเขามาที่นี่ได้ อย่างน้อยก็หมายถึงมาเป็นตัวแทนของตระกูล
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ไร้เดียงสานัก โดยคิดว่ามันเป็นความจริงเพียงเพราะสถานะของเขาในฐานะปรมาจารย์ จึงสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้
คนส่วนใหญ่มาเพราะเห็นแก่หน้าซือถิงและซือหยาง
โดยเฉพาะซือถิง
ท่าทีของเขาคือท่าทีของตระกูลซืออย่างไม่ต้องสงสัย
ซือหยางเป็นคนที่ทำอะไรวู่วามและชอบเรื่องรื่นเริงมากกว่า
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่รู้จักคนเหล่านี้มาก่อน แต่เมื่อมีซือหยางอยู่จึงทำให้บรรยากาศครึกครื้น และทุกคนก็คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจกับการมาของคนเหล่านี้ โดยเฉพาะคนพวกนี้ต่างตกใจมากที่เหยียนเก๋อก็มาที่นี่ด้วย
ตอนแรกที่พวกเขามาเพราะเห็นแก่หน้าซือถิงและตระกูลซือ ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนที่มาก่อนแล้วยังเป็นรองเถ้าแก่ของเจินเป่าเก๋ออีกด้วย
มิน่าล่ะฉู่หลิวเยว่ถึงได้มั่นใจตัดกับตระกูลฉู่ได้อย่างเด็ดขาด
“ห้องภัตตาคารบนชั้นสองได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เรียนเชิญทุกท่าน…”
ซูหุยยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
ซือหยางและคนอื่นๆ ประหลาดใจเล็กน้อย
“ห้องภัตตาคารชั้นสอง ปกติแล้วไม่เปิดให้บริการมิใช่หรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์