จะพูดว่าอย่างใดดีล่ะ?
ชาติที่แล้วไม่ได้อยู่ถึงงานแต่งงาน นางจึงไม่มีโอกาสได้เห็นคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่ง
ในใจของฉู่หลิวเยว่จึงคิดว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ สูงส่งจนไม่สามารถลบหลู่
แต่วันนี้ในตอนที่คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่ลอยออกมาหานางเอง นางทั้งรู้สึกดีใจและประหลาดใจอย่างมาก
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่อยู่ในมือของนางตอนนี้ เหมือนได้ชดเชยความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีให้หมดสิ้นไป
แต่ว่า…ไม่มีใครเคยบอกนางเลยว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งจะติดคนแบบนี้!
เมื่อมองไปที่คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งที่กำลังเต้นระบำอย่างยินดีอยู่ตรงหน้า คนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเหมือนว่าจะรับไม่ได้ไปครู่หนึ่ง
เจ้าดูมีความสุขดี แต่ช่วยมองมาทางข้าทีเถอะ!
รอบข้างยังมีคนมองอยู่นะ!
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่จะไม่มีทางสนใจสายตาของคนรอบข้างขนาดนี้หรอก
เพียงแต่ว่าในตอนนี้นั้นนางรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างแผดเผา
“อะแฮ่ม!”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นมาป้องปาก จากนั้นก็กระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นเองนางก็ยื่นมือออกไปผลักคทานั้น
“คือว่า…เหมือนว่าท่านควรจะต้องกลับไปนะ…”
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของนาง และยังคงโยกย้ายเคลื่อนไหวไปมาที่รอบตัวนาง ไม่มีท่าทีที่จะกลับไปเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ!
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตาออกมา คาดไม่ถึงว่าถวนจื่อจะบินออกมาด้วย ก่อนจะเผชิญหน้ากับคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งแล้วเบิกตากลมโต
…ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้ากลับไป เหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีก?
คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งชะงักไปชั่วครู่ มันย้ายตำแหน่งของตัวเองอีกครั้ง และไปอยู่อีกข้างฝ่ามือของฉู่หลิวเยว่
…เจ้าจะมาสนใจข้าเหตุใด?
มันไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย เหตุใดต้องมาอิจฉามันด้วยล่ะ?
ถวนจื่อ “???”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวหนึ่งกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนน่าอิจฉาทั้งนั้น
แต่เหตุใดถึงรู้สึกขายหน้าอย่างอธิบายไม่ถูกละ???
เมื่อเห็นว่าพวกมันมีแนวโน้มว่าจะทะเลาะกันต่อไป ฉู่หลิวเยว่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด โดยการจับปีกของถวนจื่อ แล้วยกตัวมันมาวางไว้ที่บนไหล่ของตัวเอง
อย่างใดก็ตามเมื่อนางปล่อยมือออก ถวนจื่อก็พุ่งตัวเข้าไปหาคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งอีกครั้ง คทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งก็กระโดดไปมา ราวกับกำลังยั่วโมโหมันก็ไม่ปาน
ฉู่หลิวเยว่กุมขมับของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ในที่สุดนางก็ตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า
“อย่าทะเลาะกัน!”
…
ในที่สุดพวกมันก็เงียบลงแล้ว
ส่วนคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถวนจื่อกลับมาเกาะที่ไหล่ของฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปทางเจียงอวี่เฉิง
“คือว่า…ข้าพยายามแล้ว…แต่ข้าไม่สามารถทำอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย”
สีหน้าของเจียงอวี่เฉิงแปลกประหลาดอย่างมาก
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางสงบใจได้ทั้งนั้น
แต่เจียงอวี่เฉิงที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าคทาอาญาสิทธิ์เทียนลิ่งเกาะติดอยู่ที่ข้างกายของฉู่หลิวเยว่ไม่ห่าง ถ้ายังคงตั้งคำถามต่อไป จะเป็นการทำให้ซั่งกวนหว่านเสียหน้าไปกว่านี้
ทางที่ดีที่สุดคือต้องเมินเฉยต่อเรื่องเหล่านี้
ดังนั้นเจียงอวี่เฉิงจึงเปลี่ยนเรื่องทันที
“พวกเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ส่วนเรื่องที่เจ้าพูดไปเมื่อสักครู่นี้…พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบอีกครั้งในภายหลัง…”
“ไม่ต้อง”
ซั่งกวนเยว่ตายไปตั้งนานแล้ว จนไม่สามารถตายได้อีกแล้ว ดังนั้นหลักฐานและเบาะแสก็ถูกทำลายไปหมดเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอันใดพอที่จะให้สืบค้นได้อีกแล้ว!”
นางไม่เชื่อ หลังจากผ่านไปสองปี มันจะสามารถค้นพบอันใดได้อีกหรืออย่างใด
“หว่าน…”
เจียงอวี่เฉิงคิดจะห้ามอย่างไม่ทันระวัง แต่คำพูดของซั่งกวนหว่านก็ได้พูดออกไปแล้ว
ฝ่ามือที่อยู่ในแขนเสื้อก็กำหมัดกรอด ไม่รู้เหตุใดในใจของเขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเช่นนี้อยู่ตลอด
“ขอบคุณองค์หญิงสามอย่างมากที่เข้าใจ”
ทุกคนต่างมองไปด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกัน
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางเจียงอวี่เฉิง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป ความเย็นชาที่อยู่ในแววตาก็ส่องประกายออกมา
“เรื่องงานศพขององค์หญิงใหญ่นั้น องค์หญิงสามและท่านราชบุตรเขยเป็นคนจัดการ ดังนั้นเรื่องราวก่อนและหลังนั้น พวกท่านทั้งสองจะเป็นคนรู้ดีที่สุดใช่หรือไม่?”
เจียงอวี่เฉิงไม่รู้ว่านางต้องการทำอันใด แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าตอบรับ
“ถูกต้อง”
ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงคู่หมั้นระดับล่าง และซั่งกวนหว่านก็เป็นบุตรคนเดียวที่พอรู้ความ ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้พวกเขาย่อมเป็นคนรับผิดชอบ
ในเรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดี
“เช่นนั้นก็ดี ข้ามีคำถามสองสามข้อต้องการจะถามพวกท่านทั้งสองคน”
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วขึ้นมา
“ข้อแรก ในตอนที่องค์หญิงใหญ่เกิดเรื่อง ท่านราชบุตรเขยเป็นคนที่พบเรื่องนี้คนแรกใช่หรือไม่?”
“ใช่” เจียงอวี่เฉิงตอบอย่างไม่ลังเล ความจริงคำถามนี้ไม่ต้องถามก็มีคนมากมายที่รู้ เขา ซั่งกวนหว่านและคนอื่นได้สร้างวาทศิลป์ออกมา ต่อให้ฉู่หลิวเยว่ถามเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนอีกร้อยครั้ง เขาก็ยังจะพูดเหมือนเดิม
“วันนั้นองค์หญิงใหญ่บอกว่าต้องการจะปิดด่านบำเพ็ญเพียร ตั้งใจจะทดลองทะลวงขั้นที่เก้า ดังนั้นจึงเลือกปิดด่านฝึก ข้ายืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอก หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ตอนที่บุกเข้าไปในตำหนัก ก็พบว่าองค์หญิงใหญ่นั้นสวรรคตแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงพูดได้ไหลลื่นอย่างมาก น้ำเสียงปกติ ราวกับว่าภาพเหตุการณ์นั้นเป็นแค่เรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ยกนิ้วที่สองขึ้นมา
“ดี เช่นนั้นคำถามที่สอง เหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงต้องเลือกทะลวงด่านขั้นที่เก้าในวันก่อนแต่งงานของนางแค่ไม่กี่วันด้วยละ? ผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนต่างรู้ดีว่า การทะลวงด่านนั้นมีอันตราย อีกทั้งยิ่งระดับสูงมากเท่าไร ระยะเวลาของการทะลวงด่านย่อมนานมากขึ้นเท่านั้น ที่นางทำเช่นนี้ หรือว่านางไม่อยากจะเข้าร่วมงานมหามงคลสมรสในวันที่สองหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...