ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 92

หรงซิวชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าราวกับจะยิ้มแต่ก็มิได้ยิ้ม

“คุณชายรองเหยียน เชิญนั่งเถิด”

เหยียนเก๋อเกิดอาการเข่าอ่อนจนแทบยืนไม่อยู่และมีเหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นเต็มแผ่นหลัง

คนอื่นเรียกเขาเช่นนั้นก็ไม่เป็นกระไรหรอก แต่พระองค์ทรงขานเรียกเขาเช่นนี้…ต้องการเอาชีวิตเขาไปจริงๆ แล้วใช่หรือไม่!

“เอ่อ..คง…ไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง….พ่ะย่ะค่ะ…”

เหยียนเก๋อฝืนยิ้มเจื่อนๆ

“องค์ชายเป็นชนชั้นสูง กระหม่อม…กระหม่อมว่า…”

“คุณหนูหลิวเยว่ให้เจ้านั่ง เจ้าจะเกรงใจไปทำไม”

หรงซิวถอนสายตากลับมา

เหยียนเก๋อรู้ว่าคงปฏิเสธต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงตอบรับพลางนั่งลงตัวสั่นเทา

“เอ่อ…เฮ้อ!”

ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยความประหลาดใจ

ท่าทางของเหยียนเก๋อในวันนี้ช่างดูผิดแปลกไปจากเดิมยิ่งนัก…ต่อให้หรงซิวมีฐานะสูงส่งแค่ไหน แต่ด้วยสถานะของเจินเป่าเก๋อในเมืองหลวง เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงเช่นนี้

ความคิดที่สับสนแวบเข้ามาในหัวของนาง แต่ในขณะที่นางกำลังจะคิดให้ถี่ถ้วนลึกซึ้งกว่านี้ ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งยื่นมาจากด้านข้างแล้วหยิบจอกเหล้าที่นางเพิ่งรินไปเมื่อครู่นี้ไป

“แม่นางน้อยดื่มแค่น้ำชาก็พอแล้ว”

หรงซิวพูดพร้อมกับเปลี่ยนแก้วให้ใหม่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จัดการรินน้ำชาให้นางเสร็จสรรพ

ทุกท่วงท่าการกระทำของเขาดูเป็นธรรมชาติมาก แม้กระทั่งคนในงานก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดแปลกไป

หรือแม้แต่สายตาของฉู่หนิงที่มองเขาก็ยิ่งฉายแววชื่นชมมากยิ่งขึ้น

ฉู่หลิวเยว่หลุบตามองชาร้อนตรงหน้าแล้วเลิกคิ้ว

นี่…เขาเอาคืนนางใช่ไหม

“นี่ พวกท่านว่าทำไมหลีอ๋องถึงเสด็จมางานในวันนี้ได้ ก่อนหน้านี้มีคนส่งจดหมายเทียบเชิญพระองค์ตั้งมากมายแต่กลับทรงปฏิเสธทุกงาน นี่ฉู่หนิงมีลูกตื๊อใดกันถึงสามารถให้พระองค์ยอมเสด็จมาได้”

“ใครจะไปรู้กันเล่า ฉู่หนิงได้เลื่อนเป็นถึงผู้บัญชาการองครักษ์ตำแหน่งสูงมิใช่น้อย แต่ก็ไม่ถึงกับสามารถโน้มน้าวให้หลีอ๋องผู้สูงส่งลดตัวลงมาได้หรอกกระมัง”

“ข้ากลับได้ยินมาว่า งานเลี้ยงวันเกิดองค์ชายรัชทายาทไม่กี่วันก่อน องค์หญิงสี่ทรงรังแกฉู่หลิวเยว่ แต่ก็ได้หลีอ๋องมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์…คงมิใช่เพราะว่าองค์ชายหลีอ๋องทรงตกหลุมรักฉู่หลิวเยว่หรอกกระมัง”

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร พระองค์เพิ่งจะเสด็จกลับมาประทับที่เมืองหลวงนี่เอง”

“แล้วถ้าอย่างนั้นจะอธิบายเรื่องที่พระองค์ทรงออกหน้าแทนฉู่หลิวเยว่อย่างไร พระองค์ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้องค์ชายรัชทายาทและตระกูลฉู่ไม่พอใจหรอกกระมัง”

“เฮ้อ นี่แหละประเด็น! ข้าว่านะ ถึงอย่างไรองค์ชายหลีอ๋องคงฉวยโอกาสนี้ยั่วโทสะองค์ชายรัชทายาทแน่นอน เพิ่งกลับมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลีอ๋องแล้ว องค์ชายรัชทายาทจะไม่เคืองพระทัยได้อย่างไร”

“ก็แค่คนป่วยออดๆ แอดๆ คนหนึ่ง จะมีความสามารถมาแย่งชิงอะไรกับผู้ใดได้…”

“พวกท่านไม่รู้หรือ ข้าได้ยินมาว่าพระมารดาของหลีอ๋องในตอนนั้นถูกฮองเฮา…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนคนนั้นก็นึกหวาดกลัวขึ้นมากะทันหัน เขาจึงหยุดพูด ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกไปอีก

“ข้าน้อยนามว่าจี้ชิงเฟิง หัวหน้าหน่วยมหาดเล็กที่เจ็ดของราชองครักษ์ ขอพบท่านผู้บัญชาการขอรับ”

ชายคนนั้นอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ใต้เท้าจี้รอสักครู่ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปรายงาน…”

“ใต้เท้าจี้ขึ้นมาได้เลย”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้น

จี้ชิงเฟงเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงก็เห็นแผ่นหลังของคนร่างบางยืนข้างหน้าต่างบนชั้นสอง

เขารีบวิ่งขึ้นไปโดยไม่ทันคิดสิ่งใด

แม้ฉู่หนิงจะไม่เคยพบเห็นคนคนนี้ แต่หลังจากที่เขาได้รับหน้าที่นี้เขาก็พอจะทราบสถานการณ์ในกรมหทารองครักษ์อยู่บ้าง และเขาจึงรู้ว่ามีชื่อนายทหารจี้ชิงเฟิงเป็นธรรมดา

“คารวะผู้บัญชาการ”

จี้ชิงเฟิงมีสีหน้าตึงเครียด ในขณะที่เขากำลังจะโค้งคำนับก็ถูกฉู่หนิงห้ามเอาไว้ก่อน

“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น”

ฉู่หนิงขมวดคิ้วถาม

“ผู้บัญชาการ เมื่อเช้านี้องค์หญิงสี่เสด็จไปพื้นที่ล่าสัตว์ เมื่อครู่นี้เพิ่งมีรายงานว่าองค์หญิงสี่ไม่ทันระวังจึงพลาดตกหน้าผาขอรับ!”

Next

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์