ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปักด้วยดิ้นทองลายขดเมฆสง่างามกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า
เขามีรูปร่างสูงโปร่งไหล่กว้างแต่เอวกลับคอดกิ่ว ทุกกิริยาท่วงท่าของเขาราวกับมีแสงสลัวเคลื่อนไหวไปตามอาภรณ์ที่เขาสวมใส่
ในขณะที่ตะวันทอแสงมาอย่างลงตัว แต่เขากลับดูเหมือนมีไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมารอบกายราวกับยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาแน่น
คิ้วคมเข้มดั่งคมดาบ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคู่งามเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แม้กระทั่งท้องฟ้ายามราตรีที่ว่างามที่สุดก็ยังมิสามารถเทียบเท่าความงดงามของเขาได้เพียงเศษเสี้ยว
หากได้มองเพียงแวบเดียวอาจเผลอไผลดำดิ่งเข้าไปในเสน่ห์ของเขาได้อย่างง่ายดาย
ริมฝีปากบางรูปกระจับสีแดงเข้มที่โค้งขึ้นเล็กน้อยกำลังดี เพราะกระจับปากกลมกลึงดั่งไข่มุกทำให้ริมฝีปากที่ดูบางนั้นแลดูอบอุ่นยิ่งขึ้น
ดวงตาคู่คมของเขาประดุจดั่งดวงดาวท่ามกลางท้องนภายามราตรีที่สุกสกาวที่สุดบนโลกใบนี้ แต่ริมฝีปากของเขากลับดูอบอุ่นราวกับสีสันแห่งวสันต์ฤดูที่อ่อนโยนที่สุดในโลกมนุษย์
เขาช่างสง่างามราวกับหยก แต่กลับมีราศีที่สูงส่งและเยือกเย็น สีหน้าที่เรียบนิ่งเย็นชาดูห่างเหินนั้นกลับทำให้คนเผลอมองโดยมิรู้ตัว
ผู้คนต่างต่างเงียบงันไปชั่วขณะ
ตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับมามีคนเคยเห็นน้อยจนแทบนับได้ คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยเจอเขาครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลีอ๋องผู้ลึกลับและมีร่างกายอ่อนแอพระองค์นี้จะรูปงามถึงเพียงนี้
หญิงสาวบางคนแอบหน้าแดงเงียบๆ
หรงซิวเมินสายตาเหล่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปยังด้านในสุด
ฉู่หนิงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาจึงรีบก้าวเข้าไปหาด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
“องค์ชายหลีอ๋อง! ทำไมวันนี้พระองค์ถึงว่างเสด็จมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับฉู่หนิง หลีอ๋องเคยช่วยพวกเขาสองพ่อลูกในสถานการ์ที่เลวร้ายอยู่หลายครั้งจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงของพวกเขา
ในขณะที่ทุกคนต่างดูถูกเหยียดหยามพวกเขาสองพ่อลูก มีเพียงหลีอ๋องพระองค์นี้ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือค้ำจุน ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกกับหลีอ๋องที่แตกต่างจากผู้อื่น
เขาได้ยินมาว่าช่วงนี้หลีอ๋องทรงพักฟื้นพระวรกายในตำหนักตลอดและปฏิเสธทุกคำเชิญทั้งหลาย
เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังสิ่งใดมากมาย ทว่ายังคงส่งจดหมายเชิญไปให้พระองค์อยู่ดี แต่ใครจะไปรู้ว่าหลีอ๋องจะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง!
แน่นอนว่าฉู่หนิงทั้งดีใจและประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้าฉู่หนิงได้เลื่อนขั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ช่วงนี้สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้วก็เลยอยากมาร่วมฉลองกับเขาด้วยเหมือนกันเพื่อซึมซับบรรยากาศครึกครื้น แต่วันนี้ธุระให้ต้องจัดการจึงมาช้าไปบ้าง หวังว่าใต้เท้าฉู่หนิงคงจะไม่ถือสา”
ฉู่หนิงรีบเอ่ยว่า
“ไม่ถือสาๆ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา กระหม่อมกับเยว่เอ๋อร์ก็ยินดีอย่างหาที่สุดไม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแค่กวาดสายตาผ่านไปเท่านั้น
“อ๋อ คุณหนูหลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”
น้ำเสียงฟังดูสุภาพ แต่จะมีผู้ใดรู้บ้างว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คือคนเดียวกับที่ขอค้างคืนที่ห้องนางเมื่อคืนนี้!
ฉู่หลิวเยว่แอบก่นด่าเขาในใจ ในเมื่อเข้าต้องการเล่นละครตบตา เช่นนั้นนางก็ไหลไปตามน้ำเล่นให้สมบทบาทเหมือนกัน
นางถอนสายบัว
“ท่านพ่อคิดสิ่งใด หลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นด้วยเพคะ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา หม่อมฉันทราบซึ้งในน้ำพระทัยยิ่งนักเพคะ”
หรงซิวมองนางด้วยแววตาขบขันและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ทุกคนต่างมองฉากนี้ด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
หลีอ๋องรู้จักมักจี่กับฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่สองพ่อลูกคู่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งดูท่าทางแล้วคงสนิทสนมกันน่าดู
มิฉะนั้น เหตุใดหลีอ๋องถึงได้ปฏิเสธคำเชิญมากมายเพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ
องค์ชายเจ็ดมีฐานะสูงส่งและยังเป็นตัวแทนของราชวงศ์ แม้หลายปีมานี้จะไม่ค่อยได้ประทับที่เมืองหลวง แต่เมื่อเสด็จกลับก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลีอ๋องทันที จึงเห็นได้ว่าฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานหลีอ๋องพระองค์นี้ไม่น้อย
ฉู่หนิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลีอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์