ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 91

ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปักด้วยดิ้นทองลายขดเมฆสง่างามกำลังย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า

เขามีรูปร่างสูงโปร่งไหล่กว้างแต่เอวกลับคอดกิ่ว ทุกกิริยาท่วงท่าของเขาราวกับมีแสงสลัวเคลื่อนไหวไปตามอาภรณ์ที่เขาสวมใส่

ในขณะที่ตะวันทอแสงมาอย่างลงตัว แต่เขากลับดูเหมือนมีไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมารอบกายราวกับยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาแน่น

คิ้วคมเข้มดั่งคมดาบ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคู่งามเปล่งประกายแสงเจิดจ้า แม้กระทั่งท้องฟ้ายามราตรีที่ว่างามที่สุดก็ยังมิสามารถเทียบเท่าความงดงามของเขาได้เพียงเศษเสี้ยว

หากได้มองเพียงแวบเดียวอาจเผลอไผลดำดิ่งเข้าไปในเสน่ห์ของเขาได้อย่างง่ายดาย

ริมฝีปากบางรูปกระจับสีแดงเข้มที่โค้งขึ้นเล็กน้อยกำลังดี เพราะกระจับปากกลมกลึงดั่งไข่มุกทำให้ริมฝีปากที่ดูบางนั้นแลดูอบอุ่นยิ่งขึ้น

ดวงตาคู่คมของเขาประดุจดั่งดวงดาวท่ามกลางท้องนภายามราตรีที่สุกสกาวที่สุดบนโลกใบนี้ แต่ริมฝีปากของเขากลับดูอบอุ่นราวกับสีสันแห่งวสันต์ฤดูที่อ่อนโยนที่สุดในโลกมนุษย์

เขาช่างสง่างามราวกับหยก แต่กลับมีราศีที่สูงส่งและเยือกเย็น สีหน้าที่เรียบนิ่งเย็นชาดูห่างเหินนั้นกลับทำให้คนเผลอมองโดยมิรู้ตัว

ผู้คนต่างต่างเงียบงันไปชั่วขณะ

ตั้งแต่พระองค์เสด็จกลับมามีคนเคยเห็นน้อยจนแทบนับได้ คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยเจอเขาครั้งนี้เป็นครั้งแรก

แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลีอ๋องผู้ลึกลับและมีร่างกายอ่อนแอพระองค์นี้จะรูปงามถึงเพียงนี้

หญิงสาวบางคนแอบหน้าแดงเงียบๆ

หรงซิวเมินสายตาเหล่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปยังด้านในสุด

ฉู่หนิงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาจึงรีบก้าวเข้าไปหาด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ

“องค์ชายหลีอ๋อง! ทำไมวันนี้พระองค์ถึงว่างเสด็จมาได้พ่ะย่ะค่ะ”

สำหรับฉู่หนิง หลีอ๋องเคยช่วยพวกเขาสองพ่อลูกในสถานการ์ที่เลวร้ายอยู่หลายครั้งจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างสูงของพวกเขา

ในขณะที่ทุกคนต่างดูถูกเหยียดหยามพวกเขาสองพ่อลูก มีเพียงหลีอ๋องพระองค์นี้ที่ยื่นมือมาช่วยเหลือค้ำจุน ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกกับหลีอ๋องที่แตกต่างจากผู้อื่น

เขาได้ยินมาว่าช่วงนี้หลีอ๋องทรงพักฟื้นพระวรกายในตำหนักตลอดและปฏิเสธทุกคำเชิญทั้งหลาย

เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังสิ่งใดมากมาย ทว่ายังคงส่งจดหมายเชิญไปให้พระองค์อยู่ดี แต่ใครจะไปรู้ว่าหลีอ๋องจะเสด็จมาด้วยพระองค์เอง!

แน่นอนว่าฉู่หนิงทั้งดีใจและประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน

หรงซิวพยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ใต้เท้าฉู่หนิงได้เลื่อนขั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ช่วงนี้สุขภาพของข้าดีขึ้นมากแล้วก็เลยอยากมาร่วมฉลองกับเขาด้วยเหมือนกันเพื่อซึมซับบรรยากาศครึกครื้น แต่วันนี้ธุระให้ต้องจัดการจึงมาช้าไปบ้าง หวังว่าใต้เท้าฉู่หนิงคงจะไม่ถือสา”

ฉู่หนิงรีบเอ่ยว่า

“ไม่ถือสาๆ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา กระหม่อมกับเยว่เอ๋อร์ก็ยินดีอย่างหาที่สุดไม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างกัน แต่ดูเหมือนเขาจะแค่กวาดสายตาผ่านไปเท่านั้น

“อ๋อ คุณหนูหลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ”

น้ำเสียงฟังดูสุภาพ แต่จะมีผู้ใดรู้บ้างว่าเจ้าหนุ่มคนนี้คือคนเดียวกับที่ขอค้างคืนที่ห้องนางเมื่อคืนนี้!

ฉู่หลิวเยว่แอบก่นด่าเขาในใจ ในเมื่อเข้าต้องการเล่นละครตบตา เช่นนั้นนางก็ไหลไปตามน้ำเล่นให้สมบทบาทเหมือนกัน

นางถอนสายบัว

“ท่านพ่อคิดสิ่งใด หลิวเยว่ก็คิดเช่นนั้นด้วยเพคะ พระองค์ให้เกียรติเสด็จมา หม่อมฉันทราบซึ้งในน้ำพระทัยยิ่งนักเพคะ”

หรงซิวมองนางด้วยแววตาขบขันและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ทุกคนต่างมองฉากนี้ด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

หลีอ๋องรู้จักมักจี่กับฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่สองพ่อลูกคู่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งดูท่าทางแล้วคงสนิทสนมกันน่าดู

มิฉะนั้น เหตุใดหลีอ๋องถึงได้ปฏิเสธคำเชิญมากมายเพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ

องค์ชายเจ็ดมีฐานะสูงส่งและยังเป็นตัวแทนของราชวงศ์ แม้หลายปีมานี้จะไม่ค่อยได้ประทับที่เมืองหลวง แต่เมื่อเสด็จกลับก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลีอ๋องทันที จึงเห็นได้ว่าฝ่าบาทก็ทรงโปรดปรานหลีอ๋องพระองค์นี้ไม่น้อย

ฉู่หนิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลีอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่

“ร่างกายของข้ามิสามารถดื่มเยอะได้จริงๆ…”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วแล้วจะยกกาเหล้าออกห่างไป

แต่ทว่าหรงซิวกลับยกมือขึ้นแล้วกดบริเวณข้อมือของนางแผ่วเบา

เมื่อมือของทั้งสองสัมผัสกันก็ดูเหมือนว่าบริเวณนั้นจะมีไฟลุกโชนขึ้นมา

“แต่ทว่า ในเมื่อคุณหนูหลิวเยว่อยากรินเหล้าให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าจะปฏิเสธได้เยี่ยงไรเล่า”

เพียงครู่เดียวเขาก็ชักมือกลับไปเงียบๆ ราวกับว่าแค่มาห้ามนางเอาไว้เท่านั้นเอง

ฉู่หนิงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

“ลูกสาวกระหม่อมเอาแต่ใจนัก องค์ชายอย่าได้ถือสา”

หรงซิวเหยียดยิ้มริมฝีปากบางเล็กน้อย

“หากได้ถือสาไม่”

เพราะเขาชินตั้งนานแล้ว

ฉู่หลิวเยว่แอบสบถในใจเบาๆ นางเหลือบสายตาก็เห็นว่าเหยียนเก๋อยังคงยืนอยู่ด้านข้าง

“คุณชายรองเหยียน เหตุใดท่านถึงยังไม่นั่งล่ะเจ้าคะ”

เหยียนเก๋อยืนยิ้มกระอักกระอ่วน

“ไม่ๆ ข้า ข้า…เมื่อยเอวนิดหน่อย ข้ายืนก็ได้!”

ต่อให้เขากินดีหมีหัวใจเสือมา เขาก็ไม่กล้านั่งแถวเดียวกับนายท่านหรอกนะ!

Next

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์