เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 930

นางเอื้อมมือไปหยิบจดหมายและทำทีเอ่ยถามราวไม่ได้ตั้งใจ

“น้อยครั้งที่ราชวงศ์เป่ยหมิงติดต่อกับทางเราเช่นนี้ แล้วไฉนจู่ๆ พวกเขาถึงเขียนจดหมายส่งมากัน?”

ซั่งกวนโหยวส่ายศีรษะ

“ข้ายังมิได้เปิดอ่าน”

ฉู่หลิวเยว่ก้มมองจดหมายเชิญตรงหน้า ด้านบนซองถูกจ่าหน้าไว้หนึ่งบรรทัด

“สารเฉพาะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้น”

นางคิ้วกระตุกอย่างแรง!

ลายมือแบบนี้…เหมือนกับลายมือในจดหมายฉบับก่อนๆ ทุกประการ!

นางเปิดจดหมายด้วยใจเต้นระสำ

เนื้อความข้างในนั้นเป็นคำเชิญ

หลังจากฉู่หลิวเยว่กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก็พลันขมวดคิ้วมุ่น

ซั่งกวนโหยวถามด้วยความกังวล

“กระไรหรือ? เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเปล่า?”

ฉู่หลิวเยว่ยื่นจดหมายเชิญฉบับนั้นให้เขา

“ราชวงศ์เป่ยหมิงขอเรียนเชิญราชวงศ์อื่นๆ ที่อยู่ในสี่ราชวงศ์ใหญ่ ให้เสด็จไปเยี่ยมเยือนหลินโจว”

“จะให้ไปทำอันใดที่หลินโจวกันนะ?”

หลินโจวคือเมืองหลวงของราชวงศ์เป่ยหมิง

ภายในพรมแดนม่านฟ้าแห่งนี้ แม้เหล่าราชวงศ์ใหญ่ๆ จะมีการติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่ได้คบค้าสมาคมกันมากนัก

การจะเชิญผู้คนจากหลายราชวงศ์ให้มารวมตัวกันอย่างกะทันหันเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากมาก

ซั่งกวนโหยวถามพลางอ่านคำเชิญซ้ำอีกครั้ง จากนั้นเขาก็โพล่งออกมาด้วยความตกใจ

“หรือว่าหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงกำลังจะเปิดออก?”

“ถูกต้อง ในจดหมายกล่าวว่าหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงจะเปิดในอีกประมาณครึ่งเดือน พวกเขารู้สึกว่าราชวงศ์เป่ยหมิงเพียงลำพังไม่สามารถจัดการได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญผู้คนจากราชวงศ์ใหญ่หลายราชวงศ์ไปด้วยกัน”

ฉู่หลิวเยว่ย่นคิ้วเล็กน้อย

หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเป็นภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่อยู่นอกเมืองหลินโจว และเล่ากันว่าเป็นสถานที่ที่องค์ไท่จู่แห่งราชวงศ์เป่ยหมิง พยายามบุกทะลวงอาณาเขตเซียนเทพ

ซึ่งต่างจากซั่งกวนจิ้ง เพราะองค์ไท่จู่ของฝ่ายนั้นสามารถทะลวงได้สำเร็จภายในปีนั้นเลย

และตั้งแต่นั้นมา หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงทั้งหมด ก็ได้กลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์เป่ยหมิง

แม้มันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน แต่ด้วยเหตุนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาราชวงศ์เป่ยหมิงจึงมีอำนาจเหนือกว่าราชวงศ์อื่น

ส่งผลให้ราชวงศ์อื่นๆ สุภาพและให้เกียรติราชวงศ์เป่ยหมิงอย่างมาก

“องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยหมิงเป็นผู้เขียนจดหมายนี้ด้วยตัวเอง และได้ยินมาว่าเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของจักรพรรดิเป่ยหมิงองค์ก่อน เขามีพรสวรรค์และเป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอด ตอนนี้อำนาจครึ่งหนึ่งของราชวงศ์เป่ยหมิงล้วนอยู่ในมือเขา”

ซั่งกวนโหยวมองไปที่จดหมายและคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“คำเชิญในครานี้ ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงหรือราชวงศ์เป่ยหมิง อย่างใดเสียคนจากราชวงศ์อื่นๆ ก็ควรจะไป”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

นางเองก็คิดเช่นนั้น

ซั่งกวนโหยวคิดทบทวนอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวด้วยความสงสัย

“ทว่าอีกสามราชวงศ์ที่เหลือล้วนอยู่ติดกับราชวงศ์เป่ยหมิง แถมยังมีการคบค้าสมาคมและพึ่งพากันอยู่บ่อยครั้ง มีเพียงราชวงศ์เทียนลิ่งของเราเท่านั้นที่อยู่ห่างจากพวกเขา และเราแทบไม่เคยมีการแลกเปลี่ยนใดๆ กับพวกเขามาก่อน เหตุใดพวกเขาถึงนึกครึ้มเขียนจดหมายเช่นนี้มากัน?”

แววตาของฉู่หลิวเยว่มืดมนลงทันตา

ปรากฏว่าคนที่พาฉู่หนิงไปคือคนจากราชวงศ์เป่ยหมิง!

ยิ่งกว่านั้น หากนางเดาไม่ผิด ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือรัชทายาทแห่งเป่ยหมิง…จวินจิ่วชิง!

สุดท้ายแล้วการเสด็จเยือนครานี้ ก็เพื่อล่อนางไปที่นั่น!

เพียงแต่นางไม่เคยไปเยือนราชวงศ์เป่ยหมิง และไม่รู้จักจวินจิ่วชิงด้วยซ้ำ แต่แล้วเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้?

“ไม่เดาแล้ว เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”

ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับอย่างแน่วแน่

หากแต่ซั่งกวนโหยวยังลังเลอยู่นิดหน่อย

“เย่วเอ๋อ ไม่เช่นนั้นครานี้ ให้พ่อไปแทนลูกดีหรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัว

“ในจดหมายเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าขอเรียนเชิญจักรพรรดิของราชวงศ์ใหญ่ๆ ไปที่นั่น และพวกเขาต้องรู้เรื่องการขึ้นครองราชย์ของบุตรสาวผู้นี้แน่นอน หากท่านไปที่นั่นในนามของข้า เกรงว่าจะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้”

ซั่งกวนโหยวเป็นกังวลเล็กน้อย

“แต่ว่า…”

ซึ่งก็คือ ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยสุดยอดขุมพลังห้าคน และอัจฉริยะผู้มากความสามารถห้าคน

ความจริงแล้วจำนวนเท่านี้ถือว่าเยอะอยู่เหมือนกัน เพราะนอกจากราชวงศ์เทียนลิ่งแล้ว อีกสามราชวงศ์ที่เหลือก็จะนำคนของพวกเขาไปด้วยเช่นกัน

ไหนจะคนจากราชวงศ์เป่ยหมิงอีก

และในเมื่อรับจำนวนจำกัด ดังนั้นการคัดเลือกผู้สมัครจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ฉู่หลิวเยว่เริ่มตรวจสอบรายชื่อด้วยตัวเองก่อน

คนที่ไปกับนางจะต้องแข็งแกร่งมากพอ และในทางกลับกัน นางจะต้องทิ้งคนไว้ที่ซีหลิงส่วนหนึ่ง เผื่อมีใครคิดสร้างปัญหาในช่วงที่นางไม่อยู่

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูจากจำนวนยอดที่ให้มาแล้ว ส่งผลให้ผู้คนจากสำนักวิชาและเหล่าตระกูลขุนนางเองก็จับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน ฉะนั้นนางจึงต้องชั่งใจไตร่ตรองให้ดี

หลังจากตรวจสอบรายชื่อในมือสักพัก มือเรียวก็หยิบพู่กันขึ้นมาขีดแก้ไขสองสามครั้ง ก่อนจะสรุปรายการ

สิบวันต่อมา…

ราชวงศ์เทียนลิ่งอยู่ไกลจากราชวงศ์เป่ยหมิงมาก แม้จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาอยู่ในค่ายกลนานหลายวัน

ดังนั้นหลังจากประกาศเรื่องนี้แก่ประชาชนในซีหลิงแล้ว พวกเขาถึงค่อยออกเดินทาง

ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของนางจะตกลงบนจดหมายเชิญข้างกายอีกครั้ง ใบหน้านวลปรากฏความไม่เข้าใจขึ้นมา

จวินจิ่วชิง…

เป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกเขาจะเคยรู้จักกันมาก่อน?

ตุบ!

จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง

นางหันศีรษะไปมอง พลันเห็นถวนจื่อที่เผลอทำตำราสองสามเล่มตกจากชั้นหนังสือ

นางลุกขึ้นเดินไปหยิบตำราเหล่านั้น

แต่ในขณะที่นางหยิบตำราเล่มสุดท้ายขึ้นมา และกำลังจะเก็บมันกลับเข้าที่ กลับพบว่าตำราเล่มนั้นแตกต่างจากเล่มอื่น

ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ แล้วเปิดตำรา

ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็ฉายแววตกใจ!

…ตัวอักษรเหล่านี้เป็นลายมือของนาง!

ทว่าในความทรงจำของนาง นางไม่เคยเขียนสิ่งเหล่านี้เลย!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์