ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ และพลิกอ่านหน้าแรกของตำราในมืออย่างระมัดระวัง
เมื่อพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ ความประหลาดใจและความสงสัยในใจนาง ก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเสียอีก!
สิ่งที่เขียนไว้บนนั้นดูยุ่งเหยิงไปหมด เนื้อหาต่างๆ ไม่สอดคล้องกัน แต่กลับมีบางอย่างแฝงอยู่ในความคลุมเครือนั่น
มันเหมือนภาษาลับบางอย่าง
ถวนจื่อดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติแล้วนั่งลงข้างๆ นางอย่างเชื่อฟัง มันจ้องมองตำราไปพลางมองนางไปพลาง ก่อนจะกลอกตาโตๆ ไปมา
ฉู่หลิวเยว่ยืนอ่านตำราอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน
เมื่อนางเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย ในที่สุดก็มีประโยคหนึ่งที่นางเข้าใจได้
“รัชศกซินหยวนลี่ ปีที่สามพันห้าร้อยเจ็ดสิบสอง การหวนคืนของวันแรกในฤดูใบไม้ร่วง”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองประโยคนั้นเป็นเวลานาน
รัชศกซินหยวนลี่…
ในประวัติศาสตร์พันปีของราชวงศ์เทียนลิ่งไม่มีชื่อปีรัชศกดังกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่นางรู้ ราชวงศ์รอบข้างบางราชวงศ์ก็มีอายุไม่ถึงสามพันปีด้วยซ้ำ
เช่นนั้นเวลาที่จดบันทึกนี้ ตกลงแล้วเป็นรัชศกของผู้ใด และเหล่าหมายถึงวันใดกันแน่?
การหวนคืนของวันแรกในฤดูใบไม้ร่วง…
หรือประโยคนี้จะสื่อว่า จากไปในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ?
แต่นี่คือลายมือของนาง แล้วการหวนคืนเล่า จะหมายความเช่นไร?
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเหมือนถูกชั้นหมอกหนาบังตา จนมองอันใดไม่ออก
และนางสังหรณ์ในใจว่าตำราเล่มนี้น่าจะเป็นบันทึกส่วนตัว
แต่จริงๆ แล้วนางจำไม่ได้เลยว่านางเขียนข้อความเหล่านี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร และก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อหาในนั้นคืออันใด
หรือประโยคที่เขียนไว้ในหน้าสุดท้าย จะหมายถึงจุดจบของบางอย่าง?
ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจเลยสักนิด
นางพลิกหน้ากระดาษดูซ้ำๆ แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
นางเป็นคนเขียนบันทึกเล่มนี้ และก็น่าจะเป็นนางที่วางมันไว้ตรงนี้
แต่นางกลับไม่มีความทรงจำของสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
“บางที…มันอาจจะเกี่ยวข้องกับความทรงจำนั่นด้วย…”
ฉู่หลวิเยว่พึมพำเสียงต่ำ
ขณะเดียวกัน ก็มีคลื่นความผันผวนก่อตัวขึ้นในร่างกายของนาง!
ความผันผวนนี้แผ่ออกมาจากยอดเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำ!
ผนึกที่บนยอดนั้นยังอยู่ดีไม่บุบสลาย แต่เหมือยว่ามีบางอย่างพยายามทะลวงพังมันออกมามากกว่า!
ฉู่หลิวยเยว่ตกตะลึง
การเคลื่อนไหวแบบนี้… หรือจะเป็นเพราะบันทึกที่อยู่ในมือนาง!?
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความผันผวนก็หยุดลงและความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งและใช้ความคิดเงียบๆ
“องค์ไท่จู่”
นางกล่าวทันที
“มีกระไรหรือนังหนู?”
เสียงขององค์ไท่จู่ดังก้องในหูนางชัดเจน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
“ข้ามีเรื่องจะถามท่านเสียหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าในเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำในกายข้า มีจิตวิญญาณของซั่งกวนผู้หนึ่งถูกผนึกไว้อย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง! แล้วอย่างใดหรือ?”
“ที่ข้าอยากถามก็คือ ท่านน่าจะรู้ว่าจิตวิญญาณนี้เป็นของผู้ใด ใช่หรือไม่?”
องค์ไท่จู่เงียบเสียงลงทันควัน
หัวใจของฉู่หลิวเยว่หนักอึ้งราวกับถูกทุบด้วยของหนัก
ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากเบาๆ
“ข้างในนั้น… คือจิตวิญญาณของข้าใช่หรือไม่?”
…
ภายในห้องทรงงานมีเพียงความเงียบงัน
หลังจากฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามเช่นนั้น องค์ไท่จู่ก็ไม่ได้ตอบกลับและเงียบหายไปนานพักใหญ่
ราตรีกาลคืบคลานเข้ามา ดวงจันทราส่องแสงสว่างไสวลอยเด่นเหนือท้องนภา
เส้นแสงสุกสกาวสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เงายาวทอดตัวออกมาจากร่างสูงเพรียวของเอกสตรีที่อยู่ในห้อง
แสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้างามดั่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบของนาง ใบหน้าซีกหนึ่งสว่างนวลผ่องและอีกซีกกลับกลืนหายไปในความมืด
นางหลุบตาลงเล็กน้อย แววตาของนางดูลึกล้ำราวกับทะเลสาบที่ไร้ก้นบึ้ง ทั้งลึกลับและคาดเดาไม่ได้
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดโชยมา พลันแล่นริ้วพริ้วไหวไปตามชายเสื้อของนาง
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดองค์ไท่จู่ก็ถอนหายใจยาวเหยียด
ฉุ่หลิวเยว่หลุดจากความคิดแล้วเดินไปเปิดประตู
คนที่มาคือหรงซิว
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกฝ่ายสวมใส่อาภรณ์สีขาว ที่สะท้อนกลมกลืนไปกับแสงนวลเย็นของจันทรา
เขามองนางด้วยสายตาลึกล้ำพร่างพราว ราวกับดวงดาวที่ส่องแสงอยู่เต็มท้องฟ้า
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา ก่อนจะตั้งสติแล้วยื่นมือออกไปดึงเขา
“หรงซิว เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ยามนี้?”
หลังจากได้รับจดหมายเชิญในตอนกลางวัน เขาก็ปลีกตัวออกไปทันที
และคิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมายามนี้
หรงซิวเป็นฝ่ายกุมมือของนางแทน ขายาวก้าวเท้าไปข้างหน้าและเดินเข้าไปในห้องทรงงาน
“ข้ามาเพื่อบอกลาเจ้า”
หรงซิวพูดอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างตกใจ
“ตอนนี้? แล้วเจ้า… จะไปที่ใดกัน?”
หรงซิวแย้มยิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ
“ทางฝั่งข้าเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ข้าต้องกลับไปจัดการกับมัน”
แน่นอนว่าเขาต้องกลับไปหาต้นตระกูลทางฝั่งมารดา…
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกโหวงเหวงราวถูกพรากหัวใจไป
เราสองคนจะเจอกันน้อยลงและอยู่ห่างกันมากขึ้น กว่าจะได้อยู่ด้วยกันหนึ่งเดือนเต็มเช่นนี้มันไม่ง่ายเลย และสุดท้ายเสองเรากลับต้องแยกทางกันอีกครั้ง
ดวงตาของนางฉายชัดไปด้วยความเสียใจ
หรงซิวจึงสางปอยผมที่ระแก้มนวลขึ้นทัดหลังใบหู พลันจับประคองใบหน้างามไว้ แล้วก้มลงจุมพิตนาง
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะรีบตามไปสมทบเจ้าที่ราชวงศ์เป่ยหมิงโดยเร็ว”
ฉู่หลิวเยว่กอดกระชับเอวสอบของเขาไว้ เสียงของนางฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจน
“จริงหรือ?”
หรงซิวบีบนวดติ่งหูที่สวยงามและบอบบางของนางเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงต่ำ แต่น้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนและผ่อนคลายเสียจนคนฟังถึงกับเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น”
มีคนมาทำตัวอวดดีต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ จะให้เขานั่งเฉยได้อย่างใด?
“เมื่อถึงเวลา ข้าจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เยว่เอ๋อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...