เมื่ออู๋หมิงดึงสติกลับมาได้ เขาก็มองนางด้วยสีหน้าอิจฉาระคนชื่นชม “ฝ่าบาททรงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง…”
สำหรับคนทั่วไปแล้ว ตลอดชีวิตของพวกเขาอาจไม่มีโอกาสได้เห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และนับประสาอันใดกับการทำสัญญากับมัน
และในประวัติศาสตร์นับพันปีของราชวงศ์เทียนลิ่งก็ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น มีแทบไม่ถึงสามคนด้วยซ้ำ
แทนที่ฉู่หลิวเยว่จะมีแค่หนึ่งตัว แต่นางกลับมีตั้งสองตัว…
ต่อให้โพนทะนาออกไปก็ไม่มีใครเชื่อแน่นอน!
อวี่เหวินจิงหงถูใบหน้าตัวเองแรงๆ และหลังจากยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง เขาก็พลันรู้สึกซับซ้อนอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อก่อนนางคือบุคคลที่เกิดมาพร้อมชีพจรเทียนจิง และเป็นอัจฉริยะผู้มากด้วยพรสวรรค์ของราชวงศ์เทียนลิ่ง
แต่เพราะการมีอยู่ของนาง จึงทำให้อัจฉริยะจำนวนนับมากถูกดับแสงลงไปด้วย
อวี่เหวินจิงหงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่พอถูกเมินใส่มากๆ เข้า เขาก็เริ่มยอมรับในชะตากรรมนั้น
คนบางคนเกิดมาแข็งแกร่งกว่าเขา แถมยังแข็งแกร่งจนเขาอดอิจฉาตาร้อนไม่ได้!
ความเลื่อมล้ำที่เปรียบเสมือนสะพานแขวนบนเหวลึกนั่น ใครมันจะกล้าเสี่ยงข้ามไปกัน?!
สู้ยอมแพ้แล้วถอยออกมาเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือ!
แต่ต่อมานางก็ถูกลอบสังหาร กระทั่งจุดไฟปลิดชีพตัวเอง และเกิดใหม่ในร่างที่แตกต่างออกไป
ครั้งนี้นางไม่มีชีพจรเทียนจิงแล้ว
ครั้งนี้นางไม่ได้ผ่านการฝึกระดับสูงทุกรูปแบบมาตั้งแต่เด็กแล้ว
และครั้งนี้พลังของเขาอาจจะมากกว่านางนิดหน่อยด้วย
ครั้นรู้ว่าขอบเขตพลังปราณของเขาสูงกว่านางมาก อวี่เหวินจิงหงเองก็ถึงกับตกอกตกใจไปหลายวัน
แม้จะรู้ว่าในอนาคตนางอาจจะแซงหน้าเขาได้ แต่เขาก็อยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่น่ายินดีเช่นนี้ไว้ให้มากที่สุด!
แต่แล้วตอนนี้ อวี่เหวินจิงหงก็ค้นพบแล้วว่า อันที่จริงเขาไม่มีวันเอาชนะนางได้เลย!
…แค่กลับมา นางก็ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว!
…แถมยังทำได้ตั้งสองตัวอีก!
แล้วเขาเล่า?
ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งนี้ถวนจื่อถูกทิ้งให้คอยปกป้องพวกเขาล่ะก็ แม้แต่ขนของอสูรศักดิ์สิทธิ์เขาก็คงไม่มีวันได้สัมผัส!
เขาจ้องฉู่หลิวเยว่ตาเขม็ง และในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า
“ฝ่าบาท โปรดรีบเสด็จเถิด!”
แค่ได้ใช้เวลาร่วมกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ก็พลันดีใจจนเนื้อเต้นไปหมดแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา และรู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
ถึงแม้อวี่เหวินจิงหงจะไม่ค่อยกระโตกกระตากใส่นางเท่าเจี่ยนเฟิงฉือ แต่เขาก็ยังมีนิสัยแบบนั้นอยู่บ้าง
และดูเหมือนว่าครานี้เจ้าตัวคงเก็บอาการไม่มิดเสียแล้ว…
“จิงหง ข้าขอฝากอู๋หมิงไว้กับเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี่เหวินจิงหงก็หึกเหิมขึ้นมาทันที
“ฝ่าบาททรงวางใจได้!”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกายขบขัน ก่อนจะมองไปยังหุบเขาเบื้องล่าง
“ไปกัน!”
อินทรีสามตากระพือปีกใหญ่ของมัน จนบังเกิดลมกระโชกแรง!
พลันร่างสีดำก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วดุจลูกศรสีดำอันแหลมคม!
…
“ไปทางซ้าย ใช่แล้ว ซ้ายอีกนิด และก็ขยับไปด้านหน้าอีกหน่อย…”
อินทรีสามตานำทางคนทั้งสองลงไปด้านล่าง มู่หงอวี่คอยชี้นำมันเป็นระยะ และเลือกวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาในการบุกเข้าไป
และยิ่งไล่ระดับลงไปมากเท่าไร ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ด้วยความช่วยเหลือของมู่หงอวี่ จึงทำให้พวกเขาหลบหลีกคลื่นความผันผวนในชั้นอากาศได้
แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่กลับสัมผัสได้ถึงแรงบีบอัดระหว่างมิติในชั้นบรรยากาศรอบๆ ที่แข็งแกร่งขึ้น
มีหลายครั้งที่ฉู่หลิวเยว่รู้สึกราวกับมีกระแสน้ำวนที่มองไม่เห็นม้วนตัวอยู่รอบๆ และพยายามจะลากพวกพวกเขาออกไป!
แต่โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดหลบเลี่ยงได้ทุกครา
และระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ย่นเข้ามาเรื่อยๆ
“ตรงไปด้านหน้าสิบจั้ง[1]แล้วเลี้ยวขวา แล้วบินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ใช่แล้ว…”
มู่หงอวี่จ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่และไม่ลดละ
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดที่นี่ถึงได้มีอันใดแปลกๆ แบบนี้…”
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยไปเยือนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมหันตภัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสถานที่ที่เต็มไปแรงกดดันที่ยุ่งเหยิงและคุกคามเช่นนี้
ซึ่งถ้าหากไม่ระวัง ก็อาจเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้นได้
และเพราะสิ่งนี้ เจี่ยนเฟิงฉือและเชียงหว่านโจวจึงต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่ และไม่สามารถออกไปได้
“เหตุใดสถานที่แปลกๆ เช่นนี้ถึงได้มาอยู่ในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงกันนะ? ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างใด…”
มู่หงอวี่ครุ่นคิดซ้ำๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
ฉะนั้นตัวนางที่มีรูปร่างคล่องแคล่วเพรียวบาง จึงสะดวกกว่ามาก
“ไม่ ไม่ได้! คลื่นพลังปราณในห้วงมิติด้านล่างกำลังฟาดฟันกันไร้ทิศทาง แทบจะเหมือนเครื่องบดเนื้อก็ว่าได้! แล้วเจ้า…”
“นั่นแหละข้าถึงต้องไป!”
ฉู่หลิวเยว่สะบัดข้อมือออกจากการจับกุม แล้วกระโดดลงไปหาเชียงหว่านโจว!
“หลิวเยว่…”
แต่ขณะที่มู่หงอวี่กำลังเป็นห่วงอีกคน ก็พลันมีคลื่นที่น่ากลัวพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง!
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ แล้วหันศีรษะไปมองทันที!
เจี่ยนเฟิงฉือนั่งขัดตะมาดอยู่บนพื้น ดวงตาคู่คมปิดแน่น พร้อมใบหน้าซีดเซียว!
ไม่รู้ว่าเขากำลังเผชิญกับอันใดอยู่ ทว่าขนงเรียวที่ขมวดแน่นและใบหน้าหล่อเหลา กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด!
คลื่นพลังสายหนึ่งพุ่งทะลวงใส่หน้าอกของเขาอย่างช้าๆ ทว่าหนักแน่น!
และถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นอายสีดำอยู่รอบๆ ตัวเขา!
นั่นเป็นสัญญาณของการแยกห้วงมิติ!
มู่หงอวี่รีบพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา!
…
มองจากภายนอกแล้ว สถานที่แห่งนี้ช่างดูสงบเงียบ
แต่ความจริงแล้วเมื่อเข้าไปข้างใน พวกเขาถึงสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของพื้นที่แห่งนี้!
มันเหมือนว่ามีพลังมากมายที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาตลอดเวลา! แล้วฉีกกระชากคนผู้นั้นเสีย!
ฉู่หลิวเยว่พยายามทะลวงเข้าไปในนั้น ด้วยการเคลื่อนไหวที่ช้าบ้างเร็วบ้าง เพราะจำต้องคอยหลบการโจมตีของคลื่นความผันผวนที่ไม่เสถียร และแตกต่างกันไปตามจุดต่างๆ!
แต่โชคดีที่นางมีชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดง จึงช่วยให้นางต้านทานการโจมตีส่วนใหญ่ได้
และด้วยวิธีนี้ ทำให้นางเข้าไปได้ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ!
ขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าเชียงหว่านโจวจะได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ข้อนิ้วเรียวขาวขยับเบาๆ
จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นและมองไปข้างหน้า
ก่อนจะมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ท่ามกลางครรลองสายตาที่พร่ามัว
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง พลันตกใจอย่างมากและแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“เยว่!?”
[1] จั้ง ซึ่งเป็น ชื่อหน่วยวัดความยาว หน่วยหนึ่งในมาตราวัดของจีน โดยหน่วยความยาว หนึ่งจั้ง จะหมายถึงความยาวประมาณ สิบฟุต หรือประมาณ 3.3 เมตร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...