เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 983

ทุกคนล้วนเงียบกริบไร้การตอบสนอง

อู๋หมิงพลันกระแอมไอแล้วขยิบตาให้เขา

“พวกเราไปหาที่นั่งรักษาแผลกันก่อนดีกว่า”

จากนั้นอวี่เหวินจิงหงถึงสังเกตเห็นสายตามากมาย ที่จับจ้องมองมาทางพวกเขาด้วยแววตาซับซ้อน พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง และพยักหน้าตอบทันที

“ตกลง!”

บนยอดเขานั้นเป็นพื้นที่ราบเรียบเสมอกัน อีกทั้งยังกว้างขวางและมีที่ว่างเหลือสำหรับกลุ่มของพวกเขาด้วย

เพียงแต่ยามที่พวกเขาเคลื่อนไหว สายตานับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ยังมองตามพวกเขาอย่างไม่ละสายตาออกไปง่ายๆ

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงเรื่อยๆ และมีเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่ดังชัดเจน

ช่างน่าอึดอัดเสียจริง

มู่หงอวี่แอบซุ่มกระซิบกับเจี่ยนเฟิงฉือที่อยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้

“เหตุใดพวกเขาถึงเอาแต่จ้องเราแบบนั้น…”

เจี่ยนเฟิงฉือช่วยทายาที่แขนให้นาง พลางกล่าวอย่างใจเย็นทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่

“คนที่ใช้ทางลัดระหว่างการแข่งขัน ก็จะถูกมองแบบนี้แหละ”

แต่จะว่าพวกเขาใช้ทางลัดก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาพุ่งเข้าเส้นชัยตรงๆ เลยต่างหาก!

กว่าจะขึ้นมาถึงยอดเขาหลักที่สูงที่สุดแห่งนี้ได้ คนเหล่านั้นต้องผ่านความยากลำบากมากมาย ทว่าตอนนี้ พอได้เห็นพวกเขาที่ขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยมิต้องลงแรงอันใดเลย มีหรือที่พวกเขาจะไม่โกรธเคือง?

มู่หงอวี่พยักหน้าอย่างรู้ทัน และปิดปากของนางอย่างเชื่อฟัง

อวี่เหวินจิงหงกับอู๋หมิงช่วยกันพยุงเชียงหว่านโจวอีกครั้ง

ถวนจื่อเองก็ตามหลังพวกเขามา

ครั้นทั้งห้ารวมตัวกัน ราชวงศ์เทียนลิ่งก็กลายเป็นราชวงศ์ที่มีคนเยอะที่สุดบนยอดเขาในทันที!

ใบหน้าของกงซุนอี้บิดเบี้ยวเสียน่าเกลียด

เขาเพิ่งพูดจบไปเมื่อครู่ ทว่าเพียงพริบตาห้าคนนี้ก็โผล่มาแล้ว!

แม้แต่ราชวงศ์เป่ยหมิงเองก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ ทว่าฝ่ายนั้นแค่ขอแรงอสูรศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถขึ้นมาที่นี่ได้อย่างง่ายดาย!

เมื่อเทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!

“เฮ้ย!”

ท่ามกลางผู้คนมากมาย สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะทักท้วงออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ทุกคนล้วนปีนขึ้นมาด้วยความสามารถของตัวเอง การที่พวกเจ้าฉวยโอกาสเช่นนี้ มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”

ทว่าเจี่ยนเฟิงฉือหาได้สนใจไม่ และทำเพียงตั้งหน้าตั้งตารักษาบาดแผลให้มู่หงอวี่ต่อไป

แต่กลับเป็นอวี่เหวินจิงหงที่ทนฟังไม่ได้ พลันตั้งท่ากอดอกแล้วหัวเราะเยาะกลับไป

“ฉวยโอกาสหรือ? อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เป็นของพวกข้า แล้วพวกข้าจะใช้มันมิได้หรือ? อีกทั้งก่อนเข้ามาก็มิได้มีประกาศแจ้งห้ามใช้อสูรเสียหน่อย? หากเจ้าไม่พอใจ ก็อัญเชิญอสูรของเจ้าออกมาใช้สิ?”

กงซุนอี้ถึงกับสำลัก

จากนั้นชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังเขาก็เถียงว่า

“แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เป็นของซั่งกวนเยว่มิใช่หรือ? ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกับพวกเจ้าตรงไหน? ใช้พลังของอสูรที่แอบขโมยมาจากผู้อื่น บินขึ้นมาข้างบนนี้อย่างนั้นหรือ… เหอะ”

ภายใต้ถ้อยคำเหล่านั้น แฝงไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม

อวี่เหวินจิงหงตอบกลับอย่างเย็นชา

“พวกข้าไม่ได้ขโมยอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มา แต่มันมาด้วยคำสั่งของฝ่าบาทต่างหาก อีกอย่างนะ เจ้าเองก็ควรระวังคำพูดด้วย ชื่อจริงของจักรพรรดิหยวนซีแห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง ใช่ชื่อที่เจ้าจะเรียกห้วนๆ เช่นนั้นได้หรือ?”

เมื่อได้ยินถ้อยคำข่มขู่จากอวี่เหวินจิงหง ชายผู้นั้นก็รู้สึกอับอาย แต่ก็รีบระงับความขลาดอายเหล่านั้นไว้โดยเร็ว

“ในเมื่อพวกเจ้ายอมรับว่ามันเป็นอสูรของนาง และพวกเจ้าก็ไม่ได้ขโมยมันมา เช่นนั้นแล้ว มันจะมาโผล่ที่นี่ได้อย่างใด? หรือพวกเจ้า…”

“เพราะฝ่าบาทของเราก็เสด็จเข้าด้วยอย่างใดเล่า”

อวี่เหวินจิงหงหัวเราะอย่างเหนือกว่า

ทุกคนต่างตกตะลึง

“เป็นไปไม่ได้! พวกเจ้าเข้ามาครบทั้งห้าคน แล้วนางจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างใด?” กงซุนอี้กล่าวพลางขมวดคิ้ว

“หือ? ฝ่าบาทของเราเสด็จเข้ามาที่นี่ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว และนี่ก็ผ่านมาแปดหรือเก้าวันแล้วด้วยซ้ำ อันใดกัน ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่พวกเจ้าไม่รู้เรื่องกันเลยหรือ?”

อวี่เหวินจิงหงชำเลืองมองพวกเขาด้วยหางตา

อย่างใดก็ตาม เมื่อลองมองไปรอบๆ อีกครา ก็ยังไร้วี่แววของฉู่หลิวเยว่!

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของมู่หงอวี่ได้รับการรักษาแล้ว

แม้ก่อนหน้านี้นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่ยังมีเจี่ยนเฟิงฉือ นางจึงได้รับการรักษาทันเวลา

นอกจากนี้ นางเองก็มีความสามารถในการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง ดังนั้นนางจึงพ้นขีดอันตรายอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้อาการบาดเจ็บนั้นเริ่มคงที่

และเพราะเจี่ยนเฟิงฉือถูกมู่หงอวี่ช่วยไว้ ฉะนั้นยามหนีออกจากพื้นที่อันน่าสะพรึงกลัวนั่น อาการบาดเจ็บของเขาจึงไม่ได้สาหัสเท่ามู่หงอวี่ เพียงพักฟื้นเล็กน้อยเขาก็สบายตัวขึ้นแล้ว

ส่วนอวี่เหวินจิงหงกับอู๋หมิงก็ใช้เวลาที่คอยเฝ้ามองพวกเขา ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของตัวเอง จนอาการทุกอย่างดีขึ้นมาก

ฉะนั้นยามนี้ หากมองโดยรวมแล้ว ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด แต่อาการของเชียงหว่านโจวนั้นเลวร้ายที่สุด

เขาเอนตัวพิงก้อนหินพลางเอียงศีรษะ และหอบหายใจอย่างอ่อนแรง

ผมหน้าม้าตัดสั้นสีทองยุ่งเหยิงและแทบจะปิดบังเรียวคิ้วและดวงตาของเขา

ซึ่งในขณะที่ไม่มีใครสังเกต จู่ๆ ก็มีแสงวิบวับจางๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา

ในกายของเขาตอนนี้ มีพลังปราณสองชนิดกำลังประสานงากันอย่างบ้าคลั่ง!

ด้านหนึ่งคือพลังปราณของผนึก และอีกด้านคือลมปราณเหมันต์อันเย็นยะเยือก!

ครั้งก่อนตอนที่อยู่ในแดนภังคะ ผนึกที่ว่านั่นได้คลายตัวลงแล้วเป็นบางส่วน และในตอนนี้มันก็ยังถูกโจมตีด้วยพลังอันรุนแรงอีก ส่งผลให้มันได้รับความเสียหายอย่างหนัก!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้การกระตุ้นของพลังปราณในห้วงมิติเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าพลังอันเยือกเย็นที่หลับไหลอยู่ในกายของเขา ต้องการจะหลุดพ้นจากพันธนาการนี้และพุ่งกระจายออกไปให้หมด!

เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว!

เชียงหว่านโจวนอนขดตัว พร้อมขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด แต่แสงตรงหว่างคิ้วของเขากลับชัดเจนขึ้นกว่าเดิม!

อู๋หมิงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา และกำลังจะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นบนท้องฟ้า!

ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งผ่าลงมาจากท้องฟ้า แล้วฟาดลงบนกลุ่มแสงแสงหลากสีโดยตรง!

“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง”!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์