ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 156

ตอนที่156 ห้าธาตุหยินหยาง

อาวุโสเหวินเอ่ยถามแทรกขึ้นว่า

“ตาฒ่าเป่ย นี่ตัดสินใจยอมแพ้เองจริงๆใช่ไหม?”

ใบหน้าของเป่ยฉวนเทียนไร้ซึ่งร่องรอยของความท้อแท้ใจอันใด ทว่ากลับร้องตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสบ่งบอกถึงความโล่งอกโล่งใจกลับไปแทน

“ตาเฒ่าเหวิน ใช่ว่าฉันอยากยอมแพ้ที่ไหนกันเล่า แต่เห็นชัดว่าการประลองรอบนี้ฉันแพ้ฉีเล่ยราบคาบจริงๆ”

หลิวไป่ซิ่วปรายตามองไปทางฉีเล่ยเล็กน้อย และทันใดนั้นรอยยิ้มที่แสนจะหายากบนใบหน้าเคร่งขรึมของเขาก็พลันเผยปรากฏออกมาให้เห็น

“เอาล่ะตาเฒ่าเป่ย ถ้าแกยอมรับว่าแพ้พวกเราก็จะตัดสินให้แกแพ้ในรอบนี้ แต่จากการนัดประลองครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้สึกว่า พวกเราจะได้เห็นความหวังของแพทย์แผนจีนปรากฏขึ้นรำไรแล้วล่ะ”

ปิงโหย่วหลินพยักหน้ายิ้มและพูดสนับสนุนขึ้นทันที

“ใช่แล้ว เห็นแกยอมรับความพ่ายแพ้เองแบบนี้ ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อย…ก็มีหนุ่มสาวเข้ามารับช่วงต่อจากพวกเราแล้วล่ะนะ ฮ่าฮ่า…แต่การแข่งขันยังไม่จบ แพ้หนึ่งเสมอหนึ่ง แกยังมีโอกาสพลิกกลับมาชนะฉีเล่ยได้นะ”

เป่ยฉวนเทียนส่ายหน้าไปมาและเอ่ยตอบไปว่า

“อันที่จริงฉันแพ้ไปสองรอบแล้วต่างหาก พูดตามตรงนะ รอบแรกฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ แต่เพราะฉีเล่ยเกรงใจเกินไป จึงไม่ยอมรับชัยชนะไปต่างหากล่ะ แค่ได้เห็นการวินิจฉัยกับการรักษาเด็กคนนั้น มันก็ชัดเจนพอแล้วว่าฉันแพ้”

“ลองคิดดูนะ อันที่จริงเราเข้าใจผิดกันตั้งแต่แรก เหตุผลที่ฉีเล่ยเลือกใช้ยาหลงตันกับคนไข้คนแรก เป็นเพราะเขาไม่เพียงแต่คำนึงถึงกระบวนการรักษาตัวโรค แต่ยังคำนึงถึงบทบาทหน้าที่ของคนไข้ในสังคมว่าสำคัญแค่ไหน ถ้าป่วยหนักกลางคันแบบนี้ชีวิตไม่เท่ากับต้องจบสิ้นงั้นเหรอ? เลยจำเป็นต้องเลือกยาแรงเพื่อย่นระยะเวลาการรักษาให้สั้นที่สุด ถ้าคำนึงถึงจุดนี้ เท่ากับว่าฉันแพ้สองรอบติดกันแล้ว เพียงแค่นี้ผลลัพธ์ของการประลองก็เป็นที่ประจักษ์แล้วล่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้าการแสดงออกของชายชราทั้งสามที่ดูบูดบึ้งไม่พอใจเท่าไหร่ เป่ยฉวนเทียนก็คลี่ยิ้มอย่างรู้เท่าทันและกล่าวต่อว่า

“อย่าทำหน้าแบบนั้นกันสิ คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าพวกแกตาเฒ่ากำลังคิดอะไรอยู่? ที่ไม่ยอมให้ตัดสินแพ้ชนะตั้งแต่รอบที่สอง เพราะอยากเห็นฉีเล่ยใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ใช่ไหมล่ะ? ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่า ถ้าแข่งต่อรอบสามฉันก็ต้องแพ้ขาดลอย แต่พวกแกก็ยังจะบังคับให้ฉันประลองต่อให้ได้ใช่ไหม? พวกแกนี่มันใจร้ายกันจริงๆ”

“ฮ่าฮ่า ตาเฒ่าเป่ย คงต้องลำบกแกแล้วล่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ…”

“รู้ใจกันแบบนี้สมแล้วที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อแก่ ขอบใจมากตาเฒ่าเป่ย!”

แม้ว่าในปัจจุบันทั้งสามจะชื่นชมและชื่นชอบในทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยเป็นอย่างมาก แต่จะให้แยกจากกันไปเพียงแค่นี้ ก็ดูเหมือนว่ายังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป

หลังจากได้ยินจากปากเป่ยฉวนเทียนว่า ฉีเล่ยสามารถใช้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ที่หายสาปสูญไปจากประวัติศาสตร์จีนนานแล้วได้ ย่อมเป็นธรรมดาที่พวกเขาทั้งสามจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นอย่างใจจดใจจ่อ

ศาสตร์แห่งการแพทย์แผนจีนที่นับวันยิ่งเสื่อมโทรมลง ไม่เพียงความเชื่อมั่นจากผู้คนที่จะหายไปเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเคล็ดวิชาการรักษาต่างๆที่หายสาบสูญไปอีกด้วยเนื่องจากไม่มีคนรุ่นใหม่มารับช่วงต่อ เพราะเหตุนี้เอง แม้พวกเขาจะเป็นถึงระดับปรมาจารย์ แต่เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้รับชมเคล็ดวิชาที่หายสาบสูญไปด้วยตาตัวเอง ต่อให้พวกเขาจะหยิ่งผยองสักแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน

เป่ยฉวนเทียนเอ่ยตอบสหายทั้งสามไปว่า

“ไม่ต้องขอบคุณฉันก็ได้ แต่พวกแกจะต้องให้สัญญากับฉันหนึ่งข้อก่อน”

“ไหนลองว่ามาสิ?”

“ในวันข้างหน้า ถ้าฉีเล่ยตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก พวกแกต้องยืนหยัดช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ”

อาวุโสเหวินเป็นคนแรกที่โพล่งตอบออกไปทันที

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว! ขนาดฉันเองยังรู้สึกชื่นชมในความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้เลย เห้ออ…แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีลูกมีเมีย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะจับเขากลับไปเป็นลูกเขยแล้วล่ะ”

ปิงโหย่วหลินถอนหายใจเสียงยาว พร้อมกับรำพึงรำพันออกมาด้วยความเสียดายเช่นกัน

“เห้ออ…น่าเสียดายที่ฉันเองก็ไม่มีหลานสาว”

หลิวไป่ซิ่วยังคงปั้นหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า

“ถ้าเขาสมัครใจ ฉันเองก็อยากจะถ่ายทอดวิชากระดูกมังกรของฉันให้เขาเหมือนกัน”

เป่ยฉวนเทียนเหลือบมองเป่ยจ้าวเทียนเล็กน้อย ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ พลางคิดกับตัวเองว่า

‘น่าเสียดายที่เจ้าหลานคนนี้เป็นผู้ชาย…’

เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างแสดงทัศนคติที่ดีต่อฉีเล่ย เป่ยฉวนเทียนก็กล่าวกับทั้งสามด้วยความพึงพอใจว่า

“ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันผลักดันสนับสนุนฉีเล่ยอย่างเต็มที่แบบนี้ ศาสตร์แพทย์แผนจีนของเราก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้ว ขอบคุณมากสหายที่เปรียบประหนึ่งพี่น้องทั้งสามของฉัน”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เป่ยฉวนเทียนก็โค้งศีรษะคำนับให้ตาเฒ่าทั้งสามด้วยความซาบซึ้งใจทันที

ทั้งสามไม่ได้บ่ายเบี่ยงใดๆ แต่เลือกที่จะโค้งคำนับตอบรับกลับไปเช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่ง ฉีเล่ยที่เพิ่งส่งคุณแม่วัยใสกับลูกตัวน้อยออกไป เมื่อเหลียวศีรษะกลับมาก็บังเอิญพบเห็นภาพฉากนี้เข้าพอดี หัวใจของเขาราวกับถูกค้อนหนักพันตันทุบเข้าใส่อย่างแรง

หนักมาก…

ภาระที่ชายชรากลุ่มนี้ได้ฝากฝังไว้ให้กับเขานั้น มันช่างยิ่งใหญ่มากจริงๆ

เป่ยฉวนเทียนยืดตัวขึ้นตรงและโบกมือเรียกฉีเล่ยให้มาหา

“ฉีเล่ย มานี่สิ”

ฉีเล่ยโค้งศีรษะให้เล็กน้อยและกล่าวตอบด้วยความเคารพนบนอบ

“ครับอาวุโสเป่ย”

ปัจจุบันสัมผัสทั้งหกของเขาค่อนข้างไวมาก แม้จะไม่ได้ตั้งใจฟังบทสนทนาของเหล่าอาวุโสก่อนหน้า แต่คำพูดเหล่านั้นกลับหลั่งไหลเข้าสู่รูหูของเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ภายในห้องเวลานี้ได้เป็นอย่างดี

เป่ยฉวนเทียนยิ้มกว้างขณะเอ่ยพูดขึ้นว่า

“เอาล่ะ มาเริ่มประลองรอบที่สามกันเถอะ ถึงสองรอบแรกฉันจะแพ้เธอติดต่อกัน แต่หวังว่าเธอจะให้โอกาสฉันได้ประลองในรอบต่อไปนะ?”

แม้ว่าเป่ยฉวนเทียนจะบากหน้าขอเริ่มการประลองรอบที่สามต่อ แต่ฉีเล่ยย่อมทราบดีว่า รอบนี้จะเป็นการแสดงมรดกที่ได้หายสาบสูญไปอย่างวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้คนอื่นๆได้เห็น

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มตอบกลับไปว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน