ตอนที่310 ท้าแข่งกับหลินชูวโม่
รถไฟขบวนนี้ไม่ได้วิ่งเข้าไปถึงตัวเมืองปักกิ่งจริงๆ ผู้โดยสารจะต้องลงทีสถานีสุดท้าย และเดินทางต่อไปที่ตัวเมืองเอง ระหว่างทางที่ฉีเล่ยอุ้มเจ้าลิงน้อยเดินไปนั้น จะมีเสียงผู้คนพูดถึงมันอยู่แทบจะตลอดทาง
“ลิงตัวนั้นน่ารักจังเลย!”
ทุกคนที่ได้เห็นเจ้าลิงน้อยที่นอนเกาะอยู่บนไหล่ของฉีเล่ยอย่างเชื่องมากนั้น ต่างก็อดที่จะเอ่ยชมออกมาถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของมันไม่ได้
เมื่อเห็นว่า ตนเองต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนแบบนี้ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกอึดอัด และรีบๆสาวเท้าเดินให้เร็วเข้า
หากเปรียบเทียบระหว่างเขาจิ่วเหลียนกับปักกิ่งแล้ว ปักกิ่งนับเป็นสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความทันสมัย ซึ่งแตกต่างจากเขาจิ่วเหลียนราวฟ้ากับดิน
หลินชูวโม่มารอรับฉีเล่ยอยู่ที่ชานชะลาก่อนแล้ว แต่เธอกลับไม่มีปฏิกิริยาตื่นเต้นกับเจ้าลิงน้อยเหมือนกับคนอื่นๆ
“เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถ หลินชูวโม่ก็ได้เอ่ยถามฉีเล่ยออกไป ในขณะเดียวกันก็เล่นกับเจ้าลิงน้อยไปด้วย ฉีเล่ยเห็นหญิงสาวไม่สนอกสนใจ จึงได้แต่พูดขึ้นว่า
“นี่คุณ ถ้าจะคุยกับผมก็กรุณามองหน้าผมด้วย!”
“มองหน้านายนี่นะ?!”
หลินชูวโม่เงยหน้าขึ้นมองฉีเล่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อว่า “เชอะ มองหน้านาย จะมีความสุขเท่ากับมองหน้าเสี่ยวหวงได้ยังไง?”
หลินชูวโม่เห็นหน้าเจ้าลิงน้อยไม่ถึงสิบนาที เธอก็ตั้งชื่อให้กับมันทันที โดยไม่สนใจที่จะถามความคิดเห็นของฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าก่อนหน้านี้นายจะเรียกเสี่ยวหวงว่าอะไร แต่จากนี้ไปเจ้าลิงน้อยตัวนี้ก็คือเสี่ยวหวงของฉัน!”
ระหว่างที่พูดนั้น หลินชูวโม่ก็กอดเจ้าลิงน้อยแน่น ราวกับว่ามันเเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอเองตั้งแต่แรก แล้วเสี่ยวหวงเองก็ไม่มีท่าทีฮึดฮัดอะไรเลย ฉีเล่ยคิดว่าเดี๋ยวมันคงจะต้องกระโดดกลับมาหาตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่า เจ้าลิงน้อยยังคงนอนอยู่บนไหล่ของหลินชูวโม่แน่นิ่ง
ฉีเล่ยเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา และได้แต่นั่งมองหญิงสาวเล่นอยู่กับเจ้าลิงน้อยอย่างมีความสุข
“ผมได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว อีกไม่นานผมก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขันแพทย์แผนจีน”
“ห๊ะ?! นี่นายจะต้องไปอีกแล้วเหรอ?”
หลินชูวโม่ร้องถามออกมาด้วยความตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ! นี่คุณจะตกใจทำไม? ผมเคยบอกคุณก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอว่า หลังกลับจากเขาจิ่วเหลียน ผมจะต้องเข้าแข่งขันแพทย์แผนจีน?”
แต่ในระหว่างที่พูดนั้น ฉีเล่ยก็สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลินชูวโม่ เขารู้ได้ทันว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
ระหว่างที่เอ่ยถาม สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่สีหน้าซึ่งเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของหลินชูวโม่ และในที่สุด หลินชูวโม่ก็พูดขึ้นว่า
“เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่สภาแพทย์แผนจีน”
“อะไรนะ?!”
ฉีเล่ยรู้สึกตกใจอย่างมาก เขารู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศรีษะ สภาแพทย์แผนจีนเปรียบเสมือนชีวิตของเขา และยังเป็นแผนการที่สำคัญที่สุดของเขาอีกด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับสภาแพทย์แผนจีน ย่อมสร้างความเสียหายให้กับเขาอย่างใหญ่หลวงแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
“ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอกนะ แต่สมาชิกหลายๆคนต่างก็ไม่มีใครเชื่อฟังคำพูดของฉันเลย ตอนนี้ทุกคนต่างก็พากันทำตามอำเภอใจของตัวเอง”
ฉีเล่ยพอจะเข้าใจความลำบากใจของหลินชูวโม่ เพราะนอกจากเธอจะเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยประธานแล้ว เธอก็ยังมีกิจการของตัวเองต้องดูแล จึงไม่แปลกที่คนอื่นๆจะไม่เชื่อฟังเธอนัก
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพิ่งจะสองสามวันนี้เอง อาจเป็นเพราะว่านายไปเขาจิ่วเหลียนไม่ได้บอกใคร ก็เลยมีคนฉวยโอกาสนี้สร้างสถานการณ์วุ่นวายขึ้นมา
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เดิมทีฉีเล่ยคิดที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน แต่เขากลับสั่งให้คนขับรถ มุ่งหน้าไปที่สภาแพทย์แผนจีนแทน
เมื่อรถแล่นไปจอดที่หน้าประตู ฉีเล่ยปล่อยให้หลินชูวโม่เดินเข้าไปก่อน และเขาก็สังเกตเห็นว่า กระทั่งแผนกต้อนรับก็ไม่กระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ทั้งคู่ก็ยังลุกขึ้นทักทายหลินชูวโม่อย่างมีมารยาท ในขณะที่คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ กลับเพียงแค่ชะโงกมอง แล้วก็ไม่สนใจ
ฉีเล่ยมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความโกรธ สภาแพทย์แผนจีนที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไป เพียงแค่ไม่กี่วันก็กลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
“ไม่! ฉันต้องจัดการอะไรสักอย่าง”
ความจริงแล้ว เรื่องนี้ต้องถือว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเช่นกัน เพราะก่อนที่จะออกเดินทางนั้น เขาคิดว่า สมาคมแพทย์แผนจีนเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ สมาชิกทุกคนรวมถึงพนักงานคนอื่นๆ น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาจึงไม่คิดที่จะตั้งกฏเกณฑ์ใดๆขึ้นมา
สมาชิกกลุ่มแรกๆที่สมัครมาพร้อมกับจงอี้ห่าวนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ แต่คนใหม่ๆนี่สิ ยิ่งมีคนเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ปัญหาที่ตามมาก็มากขึ้นเท่านั้น ฉีเล่ยเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิทเช่นกัน
ฉีเล่ยสั่งให้หลินชูวโม่วเรียกประชุมด่วน ส่วนเขาก็เดินเข้าไปหาจงอี้ห่าวที่สวนสมุนไพร
“ประธานฉี! กลับมาแล้วเหรอครับ”
จงอี้ห่าวร้องตะโกนทักทายฉีเล่ยด้วยท่าทางดีอกดีใจ ภายในสภาแพทย์แผนจีนนั้น มีเพียงจงอี้ห่าวที่รู้เรื่องฉีเล่ยเดินทางไปเขาจิ่วเหลียน และเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นในองค์กร ตัวเขาเองก็รู้สึกกังวลใจไม่น้อยเช่นกัน แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยกลับมาแบบนี้ เขาเองก็ค่อยสบายใจขึ้นมา
“ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง!”
……
ไม่นานนัก ทุกคนก็เข้ามานั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม รวมถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์มือถือ จนเดินชนฉีเล่ยแล้วยังไม่รู้จักขอโทษอีกด้วย
ภายในห้องประชุมก่อนที่ฉีเล่ยจะเข้ามานั้นดูวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว ใครคนหนึ่งกำลังปลุกปั่นทุกคนในห้อง อีกทั้งยังพูดถึงหลินชูวโม่อย่างไม่ให้เกียรติด้วย
ฉีเล่ยเฝ้ามองอยู่อย่างเงียบๆเพื่อเก็บข้อมูล จึงยังไม่ยอมเปิดเผยตัว ตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามา เขายังคงสวมหมวกและแว่นกันแดดปิดบังใบหน้าไว้
“ทุกท่านคะ ตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งสภาแพทย์แผนจีนมา และเริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้ ทางเรายังไม่เคยมีการจัดประชุมสามัญขึ้นเลยสักครั้ง ดังนั้น ที่ดิฉันเรียกประชุมในวันนี้ ก็เพราะต้องการเน้นย้ำสมาชิกทุกท่านให้รับทราบถึงวัฒนธรรมขององค์กรเราด้วย…”
แต่ยังไม่ทันที่หลินชูวูม่จะพูดจบ ใครบางคนก็พูดแทรกขึ้นอย่างไร้มารยาท
“นี่คุณผู้ช่วยคนสวย คุณไม่ใช่ประธานสักหน่อย ไม่ต้องทำสีหน้าเคร่งเครียดแบบนั้นก็ได้ อีกอย่าง คุณเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแพทย์แผนจีนเลย แต่ทำไมถึงได้นั่งตำแหน่งผู้ช่วยประธานได้ เอ๊ะ! หรือเป็นเพราะว่า…”
หลังจากที่ใครบางคนพูดออกมาแบบนั้น หลายคนที่อยู่ในห้องประชุมก็พากันหัวเราะคิกคัก
แต่หลินชูวโม่ซึ่งอยู่บนเวทีในตอนนี้ กลับสงบนิ่งไร้ท่าทีโกรธเกรี้ยว เธอเป็นนักธุรกิจ ย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาค่อนข้างมากแล้ว และได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน