ตอนที่318 การตายของจือหยาง
จือหยางคิดว่าเมื่อบอกไปแล้วทุกอย่างคงจะเป็นอันจบลง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า คำตอบของปลายสายจะทำให้เขาถึงกับขนหัวลุก
“พี่หยาง ในเมื่อตัดสินใจลงมือไปแล้ว จะมาหยุดกลางคันแบบนี้ได้ยังไง?”
จือหยางถึงกับตัวสั่นเมื่อรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขารีบร้องตะโกนบอกอีกฝ่ายไปทันที
“ซานเทียนเหมา ฉันสั่งให้หยุดก็หยุดสิ อย่าริอาจทำตามอำเภอใจเด็ดขาด!”
“พี่หยาง โบราณว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อนไม่ใช่เหรอ?”
จือหยางรู้ได้ทันทีว่า เขาคงจะไม่สามารถควบคุมอีกฝ่ายได้แล้ว น้ำเสียงของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกมากขึ้น ก่อนจะกดตัดสายทิ้งไปในทันที
จือหยางถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ฟังคำสั่งของเขาเลย หลังจากที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จือหยางจึงได้ตัดสินใจจะไปพบเจ้าของวังมังกร เพื่อหวังคลี่คลายหายนะใหญ่หลวงที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ไม่ได้การแล้ว!”
จือหยางต้องการที่จะไปบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้เฒ่าเจ้าของวังมังกรรู้โดยด่วน แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าออกนอกประตูห้อง ร่างคุ้นเคยของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือยังคงกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น
“พี่หยาง.. จะไปไหนเหรอครับ? เพิ่งจะโทรหาผมแท้ๆ ทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ”
และคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของจือหยางก็คือซานเทียนเหมานั่นเอง
“นี่แกเป็นใครกันแน่?”
จือหยางเริ่มสงสัยในฐานะที่แท้จริงของซานเทียนเหมา เพราะก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มที่เดินตามเขาต้อยๆไม่ต่างจากลูกน้องคนหนึ่ง จู่ๆ จะกลับกลายเป็นแข็งข้อขึ้นมาแบบนี้
“อืมม เป็นคำถามที่ดีมากทีเดียว ความจริงผมก็ไม่มีอะไรจะต้องปิดบังอีก รู้มั้ยว่าเพราะอะไร?”
ซานเทียนเหมาเดินเข้าไปใกล้จือหยางมากขึ้น ก่อนจะโน้มเข้าไปกระซิบข้างหูว่า “เพราะคนตายพูดไม่ได้ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วน่ะสิ!”
หลังจากที่จือหยางได้ยินคำพูดทั้งหมดของซานเทียนเหมา ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจ แต่ในขณะที่จือหยางกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาก็ถูกซานเทียนเหมาทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อหายใจเสียก่อน
“นี่แกคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมเป็นลูกน้องของแกจริงๆงั้นเหรอ? คนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยอย่างแก ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยซ้ำไป”
ซานเทียนเหมาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ขอบใจนะที่มอบโอกาสนี้ให้ฉัน!”
“นี่แก.. แก…”
จือหยางเค้นคำพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก
“อ่อ.. ฉันเกือบลืมแนะนำตัวเองไปซะสนิท! ความจริงฉันคือคนเผ่าเหมี่ยวต่างหากล่ะ!”
แต่ยังไม่ทันที่จือหยางจะทันได้ตอบโต้อะไร เขาก็สิ้นใจตายในเงื้อมมือของซานเทียนเหมาเสียก่อน
“ตัวหนักเหมือนกันนี่!”
ซานเทียนเหมาหายใจหอบ พร้อมกับจ้องมองร่างไร้วิญญาณของจือหยาง ที่เขาลากเข้าไปซ่อนไว้อย่างดี
“แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าแกไม่คิดที่จะหยุดแผนการทั้งหมด แกก็น่าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อนานกว่านี้อีกหน่อย แต่น่าเสียดาย ที่แกรนหาที่ตายเอง!”
ซานเทียนเหมาพึมพำขณะที่ปัดฝ่ามือทั้งสองข้างไปมา จากนั้น จึงได้เดินออกจากห้องไป
ทางด้านฮวาโหล่วนั้น เธอยังคงดำเนินการสืบหาเบาะแสต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะหาคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ได้
“คุณหนูครับ คุณควรจะพักผ่อนบ้างนะครับ หน้าดำคร่ำเครียดมาสองวันเต็มๆแล้ว เดี๋ยวร่างกายจะรับไม่ไหวเอา”
ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนพ่อบ้านเอ่ยบอกฮวาโหล่วด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่! ฉันจะต้องสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้!”
ฮวาโหล่วยืนกรานเสียงแข็ง ก่อนจะหันไปมองพ่อบ้านคนนั้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ลุงฮั่วคะ ไม่ต้องห่วงฉันนะคะ ฉันจะดูแลตัวเองให้ดี แต่ยังไงฉันก็ต้องสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้ได้ ตอนนี้ฉันวานลุงฮั่วช่วยดูแลฉีเล่ยอย่างใกล้ชิดด้วย”
เวลานี้ ไม่เพียงฮวาโหล่วที่กังวลใจ กระทั่งผู้เฒ่าเจ้าของวังมังกรก็ร้อนใจไม่แพ้กัน การที่เขาไม่ออกกฏระเบียบ ก็เพราะต้องการให้ทุกคนได้อยู่อย่างอิสระ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จะเกิดเรื่องเช่นนี้ในคฤหาสน์ของตนเองได้
ทุกคนต่างก็รู้ฤทธิ์ของผงห้าพิษสลายกระดูกดี จึงมั่นใจว่าฉีเล่ยมีโอกาสรอดยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อาสาที่จะคอยดูแลฉีเล่ยให้ แต่ฮวาโหล่วปฏิเสธ กระทั่งผู้เฒ่าเจ้าของวังมังกร เธอก็ยังไม่ไว้ใจ และต้องการให้คนของเธออยู่ใกล้ฉีเล่ยเท่านั้น เธอได้ให้เหตุผลว่า
“ฉันกลัวว่าจะมีใครบางคนแอบเข้ามาทำร้ายฉีเล่ยซ้ำค่ะ!”
และด้วยภูมิหลังที่แข็งแกร่งของฮวาโหล่ว กระทั่งผู้เฒ่าวังมังกรยังต้องยินยอมอ่อนข้อให้
เมื่อฮวาโหล่วมาถึงห้องพักของฉีเล่ย ร่างของเขายังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ริมฝีปากซีดขาวไร้สีเลือด จากสภาพของฉีเล่ยเวลานี้ ยากนักที่จะมีโอกาสรอดได้
แม้ว่าจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็นอนแน่นิ่งไม่ได้สติ
จากนั้น ฮวาโหล่วก็ได้ทิ้งร่างของตนเองลงบนอ้อมอกของฉีเล่ยพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ ความคับแค้นใจ ความทุกข์ระทมตลอดสองสามวันที่ผ่านมานี้ ได้ถูกระบายออกมาจนเกือบหมด
“บอกมาสิ! ทำไมถึงต้องหลอกฉันด้วย? นายรู้มั้ยว่าฉันทุกข์ใจมากแค่ไหน?”
ฮวาโหล่วร้องตะโกนถามฉีเล่ยพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเขาแน่นิ่ง
ฉีเล่ยรู้ตัวว่าทำผิด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เขามีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้
“นี่มันผงห้าพิษสลายกระดูกเชียวนะ แต่ทำไมพิษร้ายแรงขนาดนี้ถึงทำอะไรนายไม่ได้?”
จากอาการของฉีเล่ยหลังดื่มเครื่องดื่มในแก้วใบนั้นไป เขาต้องถูกผงห้าพิษสลายกระดูกเข้าอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ควรที่เขาจะมีชีวิตรอดด้วยซ้ำ ต่อให้รอดก็อาจต้องพิการไปตลอดชีวิต
แต่ฉีเล่ยในตอนนี้ ไม่เพียงดูเป็นปกติ แต่ยังมีชีวิตชีวามากด้วย
“ถ้าผมจะบอกว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าร่างกายของผมสามารถต้านทานพิษได้เอง คุณจะเชื่อผมมั้ยล่ะ?”
แม้ว่ากายหยางบริสุทธิ์ของเขาจะสร้างปัญหาให้เป็นครั้งคราว แต่สมรรถภาพของร่างกายกลับค่อยๆพัฒนาขึ้นตามลำดับ
หลังจากที่ถูกพิษของชนเผ่าเหมี่ยวไปตอนที่อยู่เจียงหลิงครั้งนั้น ฉีเล่ยก็ไม่เคยกลัวพิษอีกเลย นั่นเพราะการมีพลังหยินและหยางในร่าง เปรียบเสมือนเครื่องป้องกันพิษอย่างดี
“แล้วที่ผมต้องแกล้งนอนหมดสติอยู่แบบนี้ ก็เพราะต้องการจะดูว่า คนที่ลงมือกับผมจะเคลื่อนไหวอะไรอีก”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง
ฮวาโหล่วพยักหน้าเห็นด้วย และเธอก็มีความสุขมากที่เห็นฉีเล่ยฟื้นคืนสติมาเช่นนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ชายหนุ่มหลอกเธอให้ร้องห่มร้องไห้เสียน้ำตาไปตั้งมากมาย ก็อดที่จะโมโหไม่ได้
“เชอะ นายนี่มันนักแสดงยอดเยี่ยมแห่งปีทีเดียว!”
ฉีเล่ยหัวเราะคิกคัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า “แน่นอน! ผมชอบดูละครทีวีก็เลยจำมา นี่คุณไม่รู้เหรอ?”
หลังจากที่ทั้งคู่หัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง ฮวาโหล่วก็จ้องหน้าฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเครียด
“นี่! แล้วนายรู้รึยังว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”
หลังจากได้ยินคำถามของฮวาโหล่ว รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีเล่ยก็สลายหายไปในทันที
“รับรองว่าคุณคิดไม่ถึงแน่!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน