ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 67

สรุปบท ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

สรุปเนื้อหา ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม – ยอดคุณหมอสกุลเฉิน โดย Internet

บท ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม ของ ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ในหมวดนิยายAction เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่67 ปรมาจารย์ในคราบชายหนุ่ม

หญิงชราเหลือบมองเม็ดพริกไทยในมือฉีเล่ย เอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัยว่า

“นี่มีประโยชน์อะไรเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าหนักแน่นกล่าวว่า

“มีประโยชน์แน่นอนครับ”

หลินหมิงซางกล่าวเสริมขึ้น

“ถ้ามีประโยชน์จริงก็พาฉีเล่ยขึ้นไปห้องชั้นบนเลย”

ภายในห้อง มีเด็กหญิงอายุประมาณ5-6ขวบกำลังร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเพราะอาการปวดฟัน แก้มทั้งสองข้างบวมเป่งเห็นได้ชัดว่าอาการค่อนข้างหนัก

ฉีเล่ยเดินตรงเข้ามายิ้มให้เด็กหญิงคนนั้นพร้อมกับเม็ดพริกไทยในมือและกล่าวว่า

“อย่าร้องนะคนดี เดี๋ยวพี่สุดหล่อจะป้อนเม็ดพริกไทยให้นะ อย่าบ้วนออกมาล่ะ ลองกัดดูแล้วอาการปวดจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย”

บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มหวามอันแสนเป็นมิตรของฉีเล่ย จึงทำให้เด็กหญิงผงกหัวเชื่อฟังแต่โดยดี อ้าปากน้อยๆออกให้ฉีเล่ยป้อนเม็ดพริกไทยอย่างง่ายดาย จากนั้นก็บอกให้เธอลองกัดเม็ดพริกไทยเหล่านั้นให้แตก

ภาพฉากต่อมาช่างน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องงองแงไม่หยุดก่อนหน้า ตอนนี้กลับสงบลงแล้ว แก้มทั้งสองข้างที่บวมเป่งก่อนหน้าค่อยๆยุบตัวลงจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยหยุดร้องไห้แล้ว หลินหมิงซางลอบถอนหายใจเสียงแผ่วด้วยความโล่งอก

“ไปกันเถอะ ลงไปนั่งคุยกันต่อด้านล่าง”

คล้อยหลังสิ้นเสียง หลินหมิงจางเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยเผยให้เห็นแววประหลาดใจออกมา

หลังจากทั้งสามคงมานั่งบนโซฟาชั้นล่างของตัวบ้าน หลินหมิงซางก็หันมายิ้มให้ฉีเล่ยและกล่าวว่า

“เธอเองก็มีของใช่ย่อยนะ”

ยามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เอ่ยปากชม ร้อยทั้งร้อยต้องรู้จักวางกิริยามารยามถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสมอ

แต่อย่างไร ฉีเล่ยรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ และยิ้มตอบไปว่า

“อันที่จริง โดยสามัญสำนึกของแพทย์แผนจีน ถ้าไม่รู้จริงคงไม่กล้าลงมือช่วยเหลือเด็กสุ่มสี่สุ่มห้าครับ”

ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เป็นเพราะเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในแง่ทักษะทางการแพทย์

คล้อยหลังได้ยินคำกล่าวของฉีเล่ย ชายชราทั้งสองถึงกับผงะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากัน สุดท้ายก็อดระเบิดหัวเราะออกมาไม่ได้

หลี่ฮั่วเฉินยื่นมือไปตบไหล่ฉีเล่ยกล่าวว่า

“ฉีเล่ย ยิ่งอยู่ด้วยกันฉันก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ การจะมาเป็นแพทย์แผนจีน สิ่งหนึ่งที่ควรมีติดตัวคือความมั่นใจและเชื่อมั่นในฝีมือตัวเอง ถ้าแม้กระทั่งแพทย์ผู้รักษายังไม่สามารถเชื่อใจในฝีมือตัวเอง แล้วพวกเขาจะสร้างความศรัทธาให้แก่ผู้ป่วยได้ยังไงจริงไหม?”

หลังจากพูดจบ หลี่ฮั่วเฉินก็อธิบายรายละเอียดความเป็นมาที่ได้พบฉีเล่ยให้กับหลินหมิงซางฟัง กล่าวว่า ตอนนั้น เขาบังเอิญไปพบกับฉีเล่ยที่กำลังทำงานในฐานะแพทย์ฝึกหัดอยู่ แต่จู่ๆเขาก็ออกความเห็นค้านกลางห้องผู้ป่วยต่อหน้าบรรดาอาจารย์แพทย์อีกหลายท่าน ทั้งยังเสนอวิธีรักษาในแบบฉบับของตัวเอง และความน่าทึ่งในการจับชีพจร วินิจฉัยอาการได้แม่นยำราวกับตาเห็น ก่อนจะตบท้ายด้วยกระบวนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงมากจนน่าทึ่ง พร้อมออกใบสั่งยาได้อย่างเชี่ยวชำนาญยิ่งกว่าอาจารย์แพทย์ผู้มีประสบการณ์บางท่านเสียอีก หลี่ฮั่วเฉินเล่ารายละเอียดจำแนกออกเป็นฉากๆเสมือนกับว่าเขาถ่ายคลิปวีดีโอเก็บไว้ในวันนั้น อธิบายเหตุการณ์จุดเล็กจุดน้อยเก็บจนครบสมบูรณ์แบบ

หลี่ฮั่วเฉินเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งทั้งยังเป็นถึงรองคณะศาสตราจารย์แพทย์แห่งประเทศจีน กล่าวได้ว่า เขามีศักดิ์เป็นหัวหน้าทางสายตรงของหลินหมิงซาง ในแง่ความสัมพันธ์การทำงาน ชายชราคนนี้เป็นศาสตราจารย์มือเก๋าที่หลินหมิงซางชื่นชมและเคารพอย่างมาก จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมเชื่อในสิ่งที่หลี่ฮั่วเฉินเล่ากล่าวมาทุกคำพูด

ครั้งนี้ที่หลี่ฮั่วเฉินพาฉีเล่ยมาพบเจอหน้าแบบนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พามาทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว เพราะจะอย่างไรการจะมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยสาขาการแพทย์แผนจีน สุดท้ายก็ควรแจ้งให้คณบดีสาขาทราบก่อน

หลังจากได้ฟังเรื่องที่หลี่ฮั่วเฉินเล่าไป หลินหมิงซางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวและความสามารถโดยผิวเผินของฉีเล่ยบ้างแล้ว แต่ถ้าจะบอกให้มาเข้าสอนในฐานะอาจารย์ทันทีคงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น มีทักษะทางการแพทย์มากพอย่อมสามารถเป็นแพทย์ได้ แต่การจะขึ้นมาเป็นอาจารย์แพทย์ คุณสมบัติเท่านี้กลับยังไม่เพียงพอแน่นอน

หลินหมิงซางเป็นคณบดีสาขาแพทย์แผนจีน เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งในฝ่ายอาจารย์และนักศึกษา เขาต้องวางแผนเพื่อที่จะจัดระเบียบการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของทางมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพมารับใช้สังคมต่อไป ดังนั้นฉีเล่ยจำเป็นต้องได้รับการประเมินก่อน

ซึ่งทัศนคติที่เที่ยงตรงไม่โอนเอนแบบนี้นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก เพียงแต่สิ่งนี้ทำให้หลี่ฮั่วเฉินไม่พอใจสักเท่าไหร่

เขาถึงกับสบถกับตัวเองภายในใจว่า

‘นี่ฉันเป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เชียวนะ ในเมื่อฉันอนุญาตให้ผ่านเข้าทำงานได้แล้ว แต่ทำไมยังต้องประเมินอะไรอีก? หรือต้องเรียกกิ๊กเก่าของหมอนี่มายืนยัน?’

“ร่างกายมนุษย์มีเส้นลมปราณหลักทั้งหมด8จุดเชื่อมผสานทั่วทุกส่วน แต่ละเส้นสามารถแยกย่อยได้อีก720จุด ไม่ว่าแต่ก่อนจะเคยป่วยเป็นโรคอะไร ตอนนี้กำลังประสบภาวะใดอยู่ หรือคาดคะเนได้กระทั่งอนาคตว่ามีโอกาสสุ่มเสี่ยงเป็นโรคใด ทั้งหมดสามารถวินิจฉัยได้จากเส้นลมปราณเหล่านี้ทั้งสิ้น ถามว่าทำไมกำลังภายในถึงจำเป็นต่อศาสตร์ดังกล่าว? ผมขอตอบ ณ ที่นี้เลยว่า เวลาวินิจฉัยเส้นลมปราณ เราจำต้องกรอกเทลมปราณกระแสหนึ่งเข้าสำรวจในเส้นลมปราณทั่วร่างกายของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการสอบถามพฤติกรรมอาการ และผู้คนโดยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดที่ว่า การจับชีพจรคือแก่นแท้ของศาสตร์แพทย์แผนจีน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การจับชีพจรเป็นทักษะระดับเบื้องต้นที่สุดแล้วในบรรดาทักษะแพทย์แผนจีนทั้งหมด อาศัยแค่การจับชีพจร ช่วยวินิจฉัยได้ไม่ถึง1%ด้วยซ้ำ”

“…..”

หลินหมิงซางถึงกับอ้าปากค้างเติ่ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปครู่ใหญ่

จนสุดท้ายก็ได้สติขึ้นถอนหายใจเสียวยืดยาวกล่าวว่า

“อายุยังน้อยแท้ๆ แต่สามารถเปิดโลกทัศน์ให้ตาแก่อย่างฉันได้ขนาดนี้เชียว นี่เจอกันยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ กลับเพิ่งรู้สึกเข้าใจกระจ่างแจ้งก็ตอนนี้นี่แหละ ไอ้ที่ฉันศึกษาร่ำเรียนมาครึ่งค่อนชีวิตนี่มันดูไร้สาระไปเลย…”

ฉีเล่ยกล่าวปลอบใจไปว่า

“คณบดีหลินไม่เห็นต้องพูดดูถูกตัวเองแบบนี้เลยครับ ยังมีแพทย์แผนจีนอีกหลากหลายแขนงที่หายสาบสูญไป มันไม่ใช่ความผิดของคนในยุคปัจจุบันแบบเราเลย เรื่องนี้มันผิดพลาดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว เพราะบรรพบุรุษเหล่านั้นไม่รู้จักรักษามรดกสมบัติให้ดีต่างหาก ส่งผลให้คนรุ่นหลังที่ร่ำเรียนศึกษาได้ไม่สมบูรณ์แบบนี้”

หลินหมิงซางพยักหน้าและถามต่อว่า

“ความสามารถขนาดนี้ เธอไปสอนพวกนักศึกษาได้สบาย แต่เธอเองก็ยังดูเด็กมาก อายุไม่น่าจะแตกต่างจากพวกนักศึกษาเท่าไหร่ ถ้าแบบนี้เธอจะคุมเด็กพวกนั้นอยู่เหรอ?”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแส

“คนเป็นอาจารย์ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ไม่ใช่อายุครับ”

หลินหมิงซางกล่าวต่อว่า

“ก็ดี เริ่มสอนเมื่อไหร่ฉันก็หวังว่าเธอจะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกนักศึกษาได้นะ ถ้าเกิดเด็กพวกนั้นสร้างปัญหาอะไรให้เธอก็มาบอกฉันได้ตลอดไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็เริ่มเข้าทำงานพรุ่งนี้ได้เลย ฉันจะเอาชื่อเธอเข้าตำแหน่งอาจารย์ให้ทันที”

“ไม่มีปัญหาครับ เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน