ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 73

ตอนที่73 สักขีพยานต่อทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์

ฉีเล่ยเดินฝ่าท่ามกลางนักศึกษาที่นั่งอยู่ขนาบซ้ายขวา ทุกครั้งที่เหลือบมองหน้าพวกเขาเหล่านั้น ตราบเท่าที่เห็นใบหน้าชัดเจนพอ ก็ย่อมสามารถวินิจฉัยอาการป่วยของแต่ละคนได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่กำลังป่วยหนักหรืออาการแฝงเพียบงผิวเผิน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนสะท้อนให้เห็นบนใบหน้าทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องจับชีพจรเลยด้วยซ้ำ

หลังจากเดินวนเป็นวงกลมได้ครึ่งรอบ ฉีเล่ยก็ยังไล่บรรยายถึงอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของนักศึกษารายหนึ่งที่ไม่หาสาเหตุไม่ได้ หลังจากวินิจฉัยเสร็จ ใครอาการหนักหน่อยฉีเล่ยก็จะเขียนใบสั่งยาสมุนไพรให้พวกเขาไปตามซื้อ นักศึกษาทุกคนที่ได้รับใบสั่งยาไปต่างกล่าวขอบคุณเขาด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง

วันนี้พวกเขาต้องเข้ามาเรียนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ไม่เพียงทึ่งกับภาพฉากอันน่ามหัศจรรย์ของอาจารย์คนใหม่ แต่ยังได้รับใบสั่งยารักษาอาการของแต่ละคน นี่ยังไม่รวมถึงความรู้ทางด้านสรรพคุณสมุนไพรชนิดต่างๆ ที่สอดแทรกเข้ามาด้วย พอพวกเขาได้รับใบสั่งยามาเสร็จ นักศึกษาพวกนั้นก็รีบเร่งจับกลุ่มคุยกันอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

จนกระทั่งฉีเล่ยเดินตรงไปสุดแถวสุดท้าย ช่วยนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นสิวเต็มหน้า อธิบายให้ฟังว่าทั้งหมดเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ พร้อมเขียนใบสั่งยาให้ทันที เพียงปราดตามองแค่ครั้งเดียวฉีเล่ยก็สามารถวินิจฉัยอาการป่วยของทุกคนในคลาสเรียนได้ โดยไม่พลาดเป้าแม้แต่คนเดียว

แน่นอนว่าสำหรับนักศึกษาหนุ่มที่กำลังคล้องคอกับแฟนสาวอยู่นั้น ฉีเล่ยกลับเลือกที่จะเพิกเฉยราวกับเป็นอากาศธาตุ

ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่งที่โดนเพิกเฉยไม่สนใจแบบนี้ ดังนั้นแล้วเขาจะต้องเรียกคืนศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้จงได้ นักศึกษาชายคนนั้นตะโกนลั่นว่า

“ทำไมแกยังไม่วินิจฉัยฉันสักที? คงทำไมได้สินะ?”

ทัศนคติอันสุดแสนจะจองหองของนักศึกษาชายคนนี้ทำให้ทุกคนในคลาสรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉีเล่ยสามารถเอาชนะใจของทุกคนได้โดยอาศัยทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์ของตัวเขา และตอนนี้เขาเองก็ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนโดยสมบูรณ์ พอถูกนักศึกษาชายคนนี้กล่าวยั่วยุขึ้นมา ทุกคนก็พลันรู้สึกว่า นี่คือสิ่งที่ไม่สมควรอย่างแรง

ฉีเล่ยปรายตานักศึกษาชายคนนั้นเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า

“แน่ใจแล้วนะครับว่าจะให้พูด?”

“เออ! ถ้าเก่งจริงก็พูดมา! ก็จะทำไงได้ ร่างกายของฉันมันปกติดีอยู่แล้ว โทษทีนะที่แกอวดเก่งต่อหน้าฉันไม่ได้!”

เห็นได้ชัดว่านักศึกษาหนุ่มคนนี้ดูจะมั่นใจอย่างมากกับสุภาพร่างกายของตัวเอง และรู้สึกว่าตนไม่น่าจะผิดปกติอะไร

ฉีเล่ยส่ายหัวทันที ในเมื่อท้าทายมาขนาดนี้ส่งสัยต้องบอกความจริงในสำเหนียกสักหน่อยแล้ว

“นักศึกษาคนนี้เป็นโรคภาวะไตบกพร่อง หัดดูแลตัวเองหน่อยนะครับในอนาคต แม้ว่ายังหนุ่มยังแน่น แต่อย่าหมกมุ่นเรื่องเซ็กส์จนเกินควร”

ก๊ากกก!

ทั่วทั้งคลาสถึงกับหลุดหัวเราะเยาะเสียงดังลั่นอย่างอดไม่ได้

อันที่จริง นักศึกษาชายคนนี้ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เป็นโรคสภาวะไตบกพร่อง แต่จะอย่างไรโรคดังกล่าวมันค่อนข้างน่าอายที่จะพูดออกไปตรงๆ ระหว่างเดินวินิจฉัยถ้าฉีเล่ยพบว่านักศึกษาคนใดเป็นโรคดังกล่าว เขาจะกระซิบข้างหูบอกพวกเขาแทน ป้องกันไม่ให้เกิดความอับอาย เว้นเสียแต่นักศึกษาชายคนนี้คนเดียวที่ฉีเล่ยไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใดๆ

“ไอ้เวร!!”

นักศึกษาหนุ่มคนนี้ชี้หน้าใส่ฉีเล่ย สบถด่าอย่างหยาบคาย

“ครับ? ผมวินิจฉัยผิดพลาดตรงไหนรึเปล่า?”

ท่าทางการแสดงออกของฉีเล่ยดูไม่สะทกสะท้านแม้สักนิด มุมปากฉีกรอยยิ้มเย็นออกมา

การเคารพครูบาอาจารย์คือความกตัญญูประเภทหนึ่งเช่นกัน สำหรับลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักเคารพคุณครูผู้สอนสั่ง ฉีเล่ยก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคนประเภทนี้เช่นกัน

นักศึกษาหนุ่มคนนั้นยังทำท่าทำทางราวกับต้องการจะเถียง แค่นักศึกษาสาวในอ้อมแขนของเขากลับเผยปรากฏใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอจับจ้องฉีเล่ยยิ่งกว่าเห็นผี ไม่ว่าผู้ชายจะพยายามปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม แต่หลักฐานมันกลับคาหนังคาเขาบนใบหน้าของผู้หญิง

ฉีเล่ยเมินอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง และเดินกลับขึ้นไปบนเวทีหน้าห้อง ยืนหน้าโต๊ะอาจารย์และตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

“ผมไม่สนหรอกนะครับว่าพวกคุณเป็นใคร ใหญ่มาจากไหน ต่อให้เป็นลูกนายก แต่เมื่ออยู่ในห้องเรียนแล้ว พวกคุณก็มีเพียงบทบาทเดียวเท่านั้นก็คือนักเรียน!”

“ถ้าพวกคุณยังคิดว่าผมยังเด็กและไม่คู่ควรที่จะมาเป็นอาจารย์ของพวกคุณ ก็เชิญลองภูมิผมได้ตามที่ต้องการ”

“แต่ตอนนี้ผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ตัวผมมีคุณสมบัติมากพอที่จะมอบความรู้ให้กับทุกคน ดังนั้นหากใครยังมีอคติกับผมอยู่ก็เชิญออกจากห้องเรียนไปซะ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน