ตอนที่75 แม่หนูป่วย
มู่เซียวหยานกล่าวผ่านมือถือไปว่า
“เอาเถอะ รอแกกลับมาฉันค่อยจัดการทีเดียว แล้วตะกี้ว่ายังไงนะ? กำลังมีความรัก? ลูกสาวฉันกำลังมีความรักเหรอเนี่ย? บอกทีว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงโคตรซวยแบบนี้?”
เหอจื่อเดือดจัดจนลูกโป่งแตกดัง ‘ป๊อป’
“มู่เซียวหยาน! นี่ยังเป็นแม่ฉันอยู่รึเปล่า? นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่รู้จักคำว่าความรัก แล้วไหงถึงพูดจาชวนน่าโมโหแบบนี้? ไม่เอาแล้ว ไม่พูดแล้ว! แค่นี้แหละ!”
“อัยย๊ะ! ใจเย็นก่อนลูกสาวสุดสวยของแม่ แหมมม…แค่หยอกเล่นหยอกหน่อยทำเป็นน้อยใจ แค่ล้อเล่นเอง ลูกสาวของฉันทั้งสวยทั้งมีเสน่ห์ได้แม่มาเต็มๆ เสียดายที่ได้สายเลือดดีจากแม่คนนี้แค่ครึ่งเดียว แต่ก็อย่างว่านะ ใครได้ลูกสาวคนนี้ไปเป็นคู่ครองถือว่าโชคดีที่สุดในบรรดาสิบชาติที่ผ่านมาแล้ว เออ แกเองอายุปูนนี้แล้ว หัดมีแฟนบ้าง แม่สนับสนุน!”
“แต่เขา…เขาเป็นอาจารย์ของฉัน”
เหอจื่อกระซิบเสียงแผ่วตอบกลับไป
“เอาเลย!”
ทีแรกมู่เซียวหยานยังไม่ทันฟังได้ใจความจึงเอ่ยตอบสวนกลับไปทันที แต่พอได้ยินแบบนั้นถึงกับชะงัก
“ดะ-เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนนะ…อาจารย์?!”
“โถ่ว…รสนิยมลูกสาวฉัน… นี่ฉันเลี้ยงแกไม่เหมือนแม่คนอื่นเขาทำกันรึไง? แต่ช่างเถอะ ช่างเถอะ…หวังว่าจะเป็นผู้ชายที่ดีนะ”
พอกล่าวออกไปแบบนั้น มู่เซียวหยานเอ่ยถามต่อด้วยท่าทีประหม่าว่า
“เอ่อ…ลูกแม่…แม่ถามจริงๆนะ อาจารย์ที่ว่า…แบบพวกผู้ชายหัวล้านๆ อายุ50งี้เหรอ?”
“มู่เซียวหยาน! ฉันไม่เล่น!”
เหอจื่อโกรธจัดจนแทบจะกระโดดขึ้นม้านั่ง เธอถึงกับยกมือก่ายหน้าผากด้วยความปวดหัว พ่อของเธอดันไปทำบาปอะไรไว้เมื่อชาติก่อนกัน ชาตินี้ถึงลงเอ่ยแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ได้?
มู่เซียวหยานเองก็โมโหเช่นกัน
“เจ้าเด็กคนนี้! แม่จริงจังนะ! แค่อยากจะบอกว่า ถ้าได้ก็ดี! อาจารย์แพทย์อายุ50กว่าส่วนใหญ่มีฐานะกันทั้งนั้น! พอเขาเข้ามาเยี่ยมบ้านเราเลยดีไหม? อืม…แม่ควรเรียกเขาว่ายังไงดี? ลูกเขยหรือพี่ใหญ่ดี…”
เหอจื่อระเบิดอารมณ์ใส่ทันทีว่า
“แม่ฉันนี่ก็แม่ฉันจริงๆ! ขอบอกไว้ก่อน เขาไม่ได้แก่อย่างที่แม่คิด! เขาอายุแค่ยี่สิบต้นๆ เอง!”
“ห่ะ? อาจารย์แพทย์อายุยี่สิบต้นๆ? แก…แกรีบพาเขามาที่บ้านเลย! ไม่ก็ชวนค้างที่หอแกไปเลย! แต่ถ้าแกไม่เอาจริงๆ เดี๋ยวแม่ออกโรงเอง!”
“….”
เหอจื่อยืนแข็งค้างอยู่ริมสระบ่อ พอได้ยินแม่ตัวเองเสนอขึ้นมาแบบนี้แทบจะปามือถือลงน้ำ
ส่วนความรู้สึกตอนนี้น่ะเหรอ? เธออยากร้องไห้เสียงดังๆ แต่กลับไม่มีน้ำตา
ออกโรงเอง? นี่กำลังหาแฟนให้ลูกหรือหาพ่อเลี้ยงให้ลูกกันแน่?
เนื่องจากคณะแพทย์สาขาการแพทย์แผนจีนกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาจารย์ผู้สอน ทำให้อาจารย์ที่สังกัดอยู่ที่อาคารนี้ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ หลังจากฉีเล่ยสอนหนังสือจบ เขาก็กลับเข้ามาในห้องพักอาจารย์เพื่อพักผ่อน และทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก่อนจะเดินทางกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเข้าสอนต่อในคาบที่สอง
ยังคงเป็นห้องเรียน406ดังเดิม
และก็ยังเป็นวิชาเดียวกับก่อนหน้านี้
พอกลับเข้ามาคลาส นักศึกษาทุกคนต่างนั่งประจำที่เตรียมตัวเรียนต่อด้วยความกระตือรือร้น และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่โดดหรือหายหน้าไปไหน
วิธีการบรรยายของฉีเล่ยค่อนข้างเข้าใจง่ายเพราะเขามักจะเอาเรื่องหลักการแพทย์จีนไปประยุกต์กับประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอมา สรุปได้คำเดียวว่า ฟังเพลินมาก
และอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ฉีเล่ยให้ความสำคัญคือ เน้นทำไม่เน้นพูด เขาสั่งให้นักศึกษาจับคู่กันและลองให้พวกเขาสอบถามซึ่งกันและกันดู ก่อนจะเดินเข้าไปสอนทีละคู่ด้วยตัวเองให้รู้ถึงวิธีจับชีพจรที่ถูกต้อง และจุดสำคัญต่างๆ บนร่างกายเบื้องต้น บทเรียนทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้นักศึกษาทุกคนได้ทดลองจริงๆ ซึ่งมันไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย
เมื่อฉีเล่ยสอนจนกริ๊งเลิกเรียนดังขึ้นอีกครั้ง ฉีเล่ยค่อยกลับมาหน้าห้องและบอกเลิกเรียน ทว่าทุกคนกลับรู้สึกว่า สิ่งที่ตนเองเรียนอยู่ยังไม่พอ
“ทำไมหมดคาบเร็วจัง?”
“อาจารย์ฉีครับ วิชาการวินิจฉัยคาบหน้าเมื่อไหร่เหรอครับ?”
“น่าจะวันพุธนะครับ ก็มะรืนเดี๋ยวก็เจอกันแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนี้…หยินหยินก็ไม่ได้เจออาจารย์ฉีตั้งวันนึงเต็มๆ เลยใช่ไหมค่ะ? หนูคิดถึงแย่เลย”
เหอจื่อปั้นหน้าดูลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะรีบเก็บอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะลงกระเป๋าและวิ่งออกจากห้อง ตะโกนเรียกฉีเล่ยที่กำลังเดินจากออกไป
“อาจารย์ฉี!”
ฉีเล่ยเหลียวหลังกลับมามอง พอเห็นว่าเป็นนักศึกษาสาวคนแรกที่เขาได้ทำความรู้จักในคาบแรก เขาก็ยิ้มกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ผมบอกแล้วใช่ไหมครับ? ฝันของคุณต้องเป็นจริงแน่นอน?”
เหอจื่อเชิดหน้าใส่อยู่ทีสองทีก่อนกล่าวว่า
“แต่ถ้าจำไม่ผิด…อาจารย์ในอุดมคติของหนูต้องหล่อด้วยนะ ถ้าบอกว่า ทำให้ฝันเป็นจริง นั้นหมายความว่าอาจารย์ฉีกำลังชมตัวเองว่าหล่ออยู่นะคะ?”
“อ้าว? แล้วผมไม่หล่อหรอกเหรอ?”
ฉีเล่ยยกมือถูไถคางไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด
“ผมว่าตัวผมเองก็หล่อในระดับนึงเลยนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน