ยอดคุณหมอตาวิเศษ นิยาย บท 2363

พอได้ยินว่าอู๋เป่ยจะท้าชิงอันดับหนึ่งของรายชื่อเซียนน้อย ทุกคนก็ไม่แปลกใจ เพราะเขาเอาชนะอันดับสองได้อย่างง่ายดาย ไปท้าทายอันดับหนึ่งต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ขณะนั้น เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งว่า “เจ้ามีเวลาพักครึ่งชั่วยาม (ราวหนึ่งชั่วโมง)”

อู๋เป่ยว่า “ขอถามหน่อย รางวัลสำหรับการชนะอันดับสองคืออะไรครับ?”

เสียงนั้นตอบว่า “รางวัลเพิ่มเป็นสองเท่า เจ้าจะได้รับเหรียญมหามรรคา 2 แสนล้าน คาถาชั้นดินระดับสูงหนึ่งบท และทักษะต่อสู้ชั้นดินระดับสูงอย่างละหนึ่ง”

อู๋เป่ยก็เคยได้ยินคนพูดถึงว่า คาถาและทักษะต่อสู้นั้นมีสี่ระดับคือ ชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นเทพ และชั้นวิญญาณ โดยแต่ละระดับก็มีสามชั้นคือ สูง กลาง ต่ำ ซึ่งคาถาและทักษะต่อสู้ชั้นดินนั้น เป็นขีดจำกัดที่ผู้บำเพ็ญในอาณาจักรแห่งความรอบรู้จะสามารถควบคุมได้ ส่วนคาถาและทักษะต่อสู้ชั้นฟ้าที่เหนือกว่านั้น โดยมากมีเพียงผู้แข็งแกร่งแห่งเต๋าจึงจะร่ายได้

กระนั้น คาถาและทักษะต่อสู้ชั้นดินระดับสูงก็ยังหายากนัก อานุภาพมากพอจะสังหารผู้บำเพ็ญในอาณาจักรแห่งความรอบรู้ระดับเดียวกันได้ในพริบตา และแม้ต่อผู้แข็งแกร่งแห่งเต๋าก็ยังมีอำนาจทำลายอยู่พอสมควร

เวลานั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของอู๋เป่ยว่า “อันดับหนึ่งของรายชื่อเซียนน้อย ก็คืออันดับที่หนึ่งร้อยห้าสิบสี่ของรายชื่อเซียนใหญ่ คนในรายชื่อมหาเทพ ล้วนเป็นเทียนเฉียวของทั้งดินแดนพลังยุทธ์ แข็งแกร่งยิ่งนัก เพราะฉะนั้น ตอนนี้เจ้าต้องเรียนคาถาและทักษะต่อสู้ชั้นดินระดับสูง พยายามยกระดับพลังตัวเองให้มากที่สุด”

อู๋เป่ยเข้าใจว่า คนผู้นี้อยากให้เขาชนะ จึงเอ่ยเตือน เขาเลยขอรับรางวัล ไม่นาน แหวนหยกวงหนึ่งก็หล่นมาอยู่ในมือ ข้างในคือรางวัลจากการชนะอันดับสองของรายชื่อเซียนน้อย ประกอบด้วยเหรียญมหามรรคา 2 แสนล้าน คาถาชั้นดินระดับสูงหนึ่งบท และทักษะต่อสู้ชั้นดินระดับสูงอย่างละหนึ่ง

อู๋เป่ยไม่ปล่อยให้เวลาครึ่งชั่วยามสูญเปล่า จึงนั่งขัดสมาธิลง เพ่งพินิจคาถา

คาถานี้ชื่อว่าคาถาร่างทอง ร่ายได้ฉับพลัน เมื่อร่ายแล้ว จะเข้าสู่สภาวะร่างทองทันที ในสภาวะร่างทอง ขีดรับความเสียหายสูงสุดของร่างกายจะเพิ่มขึ้นอีกห้าเท่า และตราบใดที่พลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไม่เกินสามเท่าของขีดรับความเสียหายสูงสุดตามธรรมชาติของผู้ร่าย เขาจะไม่บาดเจ็บ

นอกจากนี้ เมื่อร่างทองถูกโจมตี ยังจะเกิดผลเคลื่อนย้ายฉับพลัน พริบตาไปปรากฏด้านหลังผู้โจมตี เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ตนเองถูกโจมตีซ้ำ

ทว่า ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะใช้คาถาร่างทองได้เพียงครั้งเดียว ระยะเวลานั้นมากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างของแต่ละคน บางคนต้องพักหลายชั่วยาม บางคนแค่ไม่กี่นาที

พอรู้ฤทธิ์ของคาถาร่างทอง อู๋เป่ยก็อดตะลึงไม่ได้ คาถาชั้นดินยังทรงพลานุภาพปานนี้ ถ้าคาถาชั้นฟ้าล่ะ จะไม่ร้ายกาจยิ่งกว่าหรือ?

เขารีบเริ่มฝึกตนทันที กาย ใจ วาจา ต้องรวมเป็นหนึ่งจึงจะสำเร็จ เขามีประสบการณ์ฝึกตนอันโชกโชน เป็นเซียนคาถามือฉมัง ไม่นานก็จับทางได้

ผ่านไปเพียงสิบห้านาที ร่างของอู๋เป่ยก็กลายเป็นสีทองกึ่งโปร่งใส เกิดเกราะคาถาทรงกลมขึ้นห่อกาย

เมื่อเห็นดังนั้น เสียงอุทานดังระงมจากที่นั่งผู้ชม

“แค่ชั่วครู่ก็ฝึกคาถาชั้นดินระดับสูงสำเร็จ พรสวรรค์แบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน!”

“ไม่เสียทีที่กล้าท้าชิงอันดับหนึ่งของรายชื่อเซียนน้อย ดูแล้วโอกาสชนะอย่างน้อยก็หกส่วนในสิบ”

ฝึกคาถาร่างทองสำเร็จแล้ว อู๋เป่ยก็เดินหน้าฝึกทักษะต่อสู้นั้นต่อไป ทักษะนี้ชื่อว่าหมัดเจ็ดดาว ขณะใช้ต้องยืมพลังแห่งดวงดาวทั้งเจ็ด เพื่อปลดปล่อยการโจมตีอันร้ายกาจที่สุด

โดยทั่วไป ทักษะต่อสู้นั้นฝึกยากที่สุด ต่อให้ผู้มีพรสวรรค์เลิศเลอยังต้องใช้เวลาหลายเดือน บางทีก็เป็นครึ่งปี หรือหนึ่งถึงสองปี เพราะการรับรู้และดูดซับพลังแห่งดวงดาวเป็นเรื่องยุ่งยากมาก

ทว่าอู๋เป่ยไม่มีข้อจำกัดนั้น เขาสามารถรับรู้ดวงดาวทั้งเจ็ดได้ฉับพลัน แล้วก็ดึงพลังแห่งดวงดาวที่กักเก็บไว้ในร่างมาใช้ปลดปล่อยทักษะ

ตูม!

เสียงมหันต์ดังสนั่น ใต้ฝ่าเท้าของอู๋เป่ยปรากฏลายเจ็ดดาว แผ่คลุมทั่วทั้งเวทีประลอง ท้องฟ้าก็ปรากฏภาพลวงตาของหมู่ดารามากมาย หมุนวนรอบตัวเขา

ชั่วอึดใจ ภาพลวงตาก็หายไป อู๋เป่ยย่ำเท้าบนลายเจ็ดดาว ทุกก้าวที่ก้าวไป จะทิ้งร่างแยกไว้ตรงนั้น และลมปราณของเขาจะแกร่งขึ้นเท่าตัว ครบเจ็ดก้าว กลิ่นอายพลังอันสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ปะทุออกมา

ยามนั้น ร่างแยกทั้งเจ็ดหลอมรวมเป็นหนึ่ง หมัดตราประทับสายหนึ่งพุ่งกระแทกสู่เวิ้งฟ้า กระแทกจนอากาศฉีกเป็นโพรงมืดทะมึนอยู่นานไม่กลับคืนสภาพเดิม

“สุดยอด!” มีคนอุทาน “หมัดนี้ เพียงพอจะคุกคามผู้แข็งแกร่งระดับเต๋าขั้นที่สาม!”