ทหารทั้งสองนายจ้องมองเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างถี่ถ้วน
“แกสองคนเป็นใคร ? แล้วแกมาหาท่านนายพลทำไม ?” ทหารหนึ่งในสองนายพูดขึ้น
โชคดีที่ทั้งเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่เกิดมาเป็นลูกหลานชาวจีน ดังนั้นพวกเขาจึงพูดภาษาจีนกลางได้ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะพบกับปัญหาใหญ่ในตอนนี้ก็เป็นได้
“พวกเราเดินทางมาจากประเทศจีน… ฉันชื่อเย่เชียน ไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านนายพลของพวกคุณ และวันนี้ฉันก็มีธุระที่เมียนมาร์ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะเพื่อแสดงความเคารพต่อท่านนายพลหวัง” เย่เชียนพูด
ทหารทั้งสองนายมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัย ก่อนที่ทหารหนึ่งในนั้นจะหยิบเครื่องรับส่งวิทยุออกมาแล้วเดินเลี่ยงไปด้านข้าง เดาได้ว่าเขาน่าจะติดต่อไปยังท่านนายพลหวังเต๋อเซินเพื่อทำการตรวจสอบความเป็นจริง จากนั้นไม่นาน ทหารคนนั้นก็กลับมาและพูดกับเย่เชียนว่า “ตามกฎแล้ว… เราจำเป็นต้องค้นตัวพวกคุณก่อน”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา…” เย่เชียนพูด
ทหารทั้งสองนายจึงเดินเข้าไปหาเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่แล้วเริ่มตบไล่ระดับตามตัวพวกเขาเบา ๆ พวกทหารพบมีดหมาป่าสีเลือดจากเย่เชียน และพบปืนพกเดสเสิทอีเกิล .50 จากหลี่เหว่ยยี่
“เราจะเก็บของของคุณเอาไว้ก่อนแล้วเราจะคืนให้เมื่อคุณออกไป” หนึ่งในทหารพูดอย่างเคร่งครัด เขายังพูดเสริมต่ออีกว่า “อีกอย่าง… เราต้องปิดตาพวกคุณด้วย”
เมื่อพวกทหารใช้ผ้าสีดำปิดตาของเย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่อย่างแน่นหนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พากันเข้าไปในบ้านไม้คล้าย ๆ โกดังที่ก่อตัวเป็นวงกลม โดยมีทุ่งนาขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ที่กลางลานมีรถบรรทุกจอดเรียงรายกันอยู่หลายคันและมีรถถังทหาร T-34 อีกสองคันที่ผลิตโดยอดีตสหภาพโซเวียต พื้นที่โดยรอบล้วนมีทหารติดอาวุธครบมืออยู่เต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม เย่เชียนและหลี่เหว่ยยี่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันนั้น มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้านหลังหนึ่งอย่างสบาย ๆ ร่างกายของเขาสูงโปร่งและแข็งแรงกำยำ อีกทั้งยังดูมีพลังที่โหดร้ายแฝงอยู่ด้วย เมื่อเขาเห็นเย่เชียน เขาก็มีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“น้องเย่… ไม่เจอกันนานเลยนะเรา!” ชายวัยกลางคนพูดขณะที่เดินมาหาเย่เชียน และเมื่อเขาเดินไปถึงตัวเย่เชียน เขาก็กอดเย่เชียนอย่างแนบแน่น
เย่เชียนกอดเขากลับอย่างสุภาพนอบน้อมและพูดว่า “หลายปีแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน ท่านนายพลหวัง… ท่านยังคงสง่าผ่าเผยเหมือนเดิมเลยนะครับ”
หวังเต๋อเซินยิ้มและปล่อยเย่เชียนให้หลุดออกจากอ้อมแขน จากนั้นก็ถามเขาต่อว่า “เป็นไงบ้าง ? พี่เทียนสบายดีมั้ย ?”
“หัวหน้าเสียไปแล้ว… เมื่อสองปีก่อนครับ” เย่เชียนตอบเรียบ ๆ
หวังเต๋อเซินนิ่งและเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ… ฉันไม่คิดว่าการบอกลากันครั้งก่อนจะเป็นการพรากจากกันชั่วนิรันดร์ของเราเลยนะนี่” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หวังเต๋อเซินก็พูดต่ออีกว่า “มาเถอะน้องเย่! พวกเราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปีแล้ว ดังนั้นอย่าคิดว่าจะหนีกันไปไหนได้ เรามาดื่มกันให้เต็มที่ไปเลยคืนนี้ แล้วอย่ากลับบ้านจนกว่าเราจะเมาหรือตายกันไปข้างนึง ฮ่า ๆ ๆ”
“เป็นเกียรติมากครับท่าน!” เย่เชียนฉีกยิ้มแล้วปล่อยให้หวังเต๋อเซินลากตัวเองเข้าไปในบ้านโกดัง ส่วนหลี่เหว่ยยี่ก็บุ้ยปากเล็กน้อยขณะที่เดินตามไป
หลี่เหว่ยยี่ไม่คาดคิดว่าเย่เชียนจะมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับคนอื่นมากขนาดนี้ นั่นอาจเป็นเพราะอดีตผู้นำของเขี้ยวหมาป่า ‘เทียนเฟิง’ เคยมาเยือนที่นี่เมื่อสมัยก่อน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน