น้ำเสียงของเย่เชียนนั้นค่อนข้างสงบและเคร่งขรึม แต่มันก็ไม่ใช่น้ำเสียงที่ฟังดูน่าประทับใจสักเท่าไหร่นัก บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดเล็กน้อย เย่เชียนไม่ได้เป็นพระราชา เขาจึงไม่สนใจกับการปกครองแบบกษัตริย์ อีกทั้งเขายังเชื่อมั่นในเรื่องของสิทธิมนุษยชนเสียมากกว่า
“ดูเหมือนว่า… ผมอาจจะพูดแรงเกินไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นความจริงจากใจของผมทุกอย่าง คุณป้าอาจจะคิดว่าผมเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้จักกาลเทศะและหัวรั้น แต่อย่างน้อยผมก็เปิดเผยทุกอย่างให้คุณป้ารู้หมดแล้ว ทุกอย่างที่ผมพูดไปนั้น ผมสามารถพิสูจน์คำพูดของผมได้ แต่ว่าตอนนี้เราเพิ่งจะเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งคุณป้าเองก็ยังไม่รู้จักผมดีพอ แล้วคุณป้าจะรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เหมาะกับโรโร่ว”
“ฉันเข้าใจว่าที่เธอเล่ามา เธอเปิดเผยความจริงทุกอย่าง… แต่แล้วยังไงล่ะ ? ต่อให้เธอจะใช้เวลาเป็นสิบปีหรือยี่สิบปีเพื่อพิสูจน์อะไรก็แล้วแต่ แต่จะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ ?” น้ำเสียงในการพูดของซูเหม่ยยังคงเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
จากนั้นเธอก็พูดต่อไปว่า “เธอคิดว่าโรโร่วสำคัญกับเธอมากอย่างงั้นใช่มั้ย ? พวกเธอรู้จักกันมานานแค่ไหน ? แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงว่าจริง ๆ แล้วหลินโรโร่วต้องการอะไร ? ฉันเข้าใจนะว่าความรักมันก็เป็นสิ่งสำคัญ… แต่ถ้าเธอไม่มีเงินหรืออำนาจ มีเพียงแค่ความรักอย่างเดียว ถึงยังไงมันก็จะพังลงในไม่ช้า… ทุกอย่างมันมีความเสี่ยงอยู่เสมอเย่เชียน”
เย่เชียนพยักหน้าเบา ๆ เขาเห็นด้วยกับคำพูดของซูเหม่ยที่ว่ามีเพียงแค่ความรักมันคงไม่พอ สิ่งที่สำคัญกว่าความรักก็คงเป็นหน้าที่และภาระความรับผิดชอบอื่น ๆ
หลังจากที่เย่เชียนสูบบุหรี่ไปสองมวน เขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วถามว่า “แล้วคุณป้าพบชายหนุ่มที่เหมาะสมกันดีกับโรโร่วแล้วหรือยังล่ะครับ ?”
“ฉันเชื่อว่าโรโร่วคงพูดถึงชายคนนั้นให้เธอฟังแล้ว ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นเชื้อสายของตระกูลชนชั้นสูง… เขามีนิสัยและพรสวรรค์ที่ดีมาก” ซูเหม่ยตอบ
“ที่ว่าดีน่ะ… ดียังไงเหรอครับ ?” เย่เชียนยืนกรานถามต่อ
ซูเหม่ยตกตะลึงไปชั่วขณะและพูดไม่ออกกับคำถามนี้ เพราะมันตอบยากจริง ๆ ทันใดนั้นเธอก็รู้ตัวว่าเธอประเมินชายหนุ่มตรงหน้าต่ำเกินไป เขาไม่เหมือนชายหนุ่มธรรมดา ๆ ที่มักจะยอมเธอและท้อถอยไป หรือคนที่พึ่งพาภูมิหลังของครอบครัวคนอื่น ๆ และกลายเป็นคนที่หยิ่งผยองไปอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะตั้งแต่เริ่มแรกที่เสวนากันมา ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้หยิ่งผยองหรือวางมาดอะไร ในทางกลับกันเขานั้นดูเป็นคนที่กล้าหาญและแน่วแน่อย่างมาก
“เขาดีพอที่จะทำให้ลูกสาวของคุณป้าชอบเขาด้วยหัวใจหรือเปล่าล่ะครับ ? อีกอย่าง… ผมเกรงว่าลูกสาวของคุณป้าจะรังเกียจเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นโรโร่วคงไม่ทำสัญญากับคุณป้าเพียงแค่สองปีสั้น ๆ แบบนี้หรอก” เย่เชียนพูดอย่างหนักแน่น
ซูเหม่ยขมวดคิ้ว “แล้วมันทำไมเหรอ ? สิ่งนี้มันอธิบายอะไรได้บ้างล่ะ ? โรโร่วน่ะเธอยังเด็กมากเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่อีกหน่อยเดี๋ยวเธอก็จะเข้าใจเองแหละว่าที่พวกเราทำไปทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเธอเอง”
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขายิ้มไม่สบอารมณ์และไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เธอไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ ?” ซูเหม่ยรู้สึกอึดอัดใจกับรอยยิ้มไม่สบอารมณ์ของเย่เชียน
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ… ผมเชื่อว่าคุณป้ากำลังคิดถึงผลประโยชน์สูงสุดของโรโร่วอยู่ แต่ผมว่าคุณป้ากำลังมองปัญหานั้น ๆ จากมุมของคุณป้าเอง ไม่ใช่ในมุมของโรโร่วเลย คุณป้าก็แค่ด่วนตัดสินใจเอาเองอยู่ฝ่ายเดียว” เย่เชียนพูดเบา ๆ
หลังจากที่เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดต่ออีกว่า “เมื่อหลายวันก่อน… ผมได้มีโอกาสไปนอนโรงแรมกับโรโร่ว แล้ววันนี้เองผมก็เพิ่งจะออกมาจากบ้านของเธอ”
ซูเหม่ยสำลักน้ำลายตัวเองด้วยความประหลาดใจ ความหมายในคำพูดของของเย่เชียนนั้นชัดเจน เธอรู้สึกได้ว่ามีการยั่วยุและท้าทายที่รุนแรงแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้น เขากำลังบอกเธอว่าหลินโรโร่วไม่เพียงแค่มอบหัวใจให้กับเขา แต่เธอยังมอบร่างกายของเธอให้เขาอีกด้วย
ซูเหม่ยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเธอจ้องมองเย่เชียนด้วยความโกรธเคืองเป็นอันมาก
เย่เชียนแสร้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีไม่สบอารมณ์ของซูเหม่ย เขาพูดต่อ “แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้ทำอะไรเธอเลย คุณป้ารู้ไหมครับว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น…? ก็เพราะว่า… ผมได้ให้สัญญากับโรโร่วเอาไว้แล้วว่าผมจะทำให้เธอเป็นอิสระจากความกังวลเรื่องครอบครัวของเธอ และทำให้เธอรักผมอย่างสบายใจ ผมไม่ได้รีบร้อนและผมอยากให้เกียรติเธอ”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน