ตอนที่ 1341 ลมและทะเลทราย
………………..
ณ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน
พายุทรายทำให้ทรายและเศษหินดินกรวดปลิวว่อนไปทั่ว!
ณ ทะเลทรายโกบีภายในถ้ำแห่งหนึ่งมีแสงใบมีดของดาบวิบวับอยู่ข้างในที่พลิ้วไหวดั่งสายลมรวดเร็วดั่งสายฟ้า! ชายหนุ่มที่ถือดาบอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆและใบหน้าของเขาเฉยเมยไม่มีสีหน้าใดๆเลยแม้แต่น้อยและไม่รู้สึกกังวลใดๆทั้งสิ้นกับพายุทรายที่รุนแรงข้างนอก ซึ่งภายในถ้ำมีเครื่องครัวเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายและมีกิ่งไม้สองสามอันรองรับหม้อต้มและหม้อก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งออกมาและยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะมีใครอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้
ในโลกของศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นสิ่งเดียวที่ทำลายไม่ได้คือความรวดเร็วและนี่ก็เป็นที่ยอมรับของเหล่าผู้แข็งแกร่ง
แสงของใบดาบส่องประกายและชายหนุ่มก็เหลือบมองพายุทรายที่โหมกระหน่ำด้านนอกและขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรแล้วหันหลังกลับเพื่อนั่งลงและตักสิ่งที่อยู่ในหม้อ ซึ่งหลังจากจิบแล้วมันก็ค่อนข้างจืดไปเล็กน้อยและชายหนุ่มก็เติมเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วตักมันออกมาในชามและกินมันเข้าไปเต็มปากเต็มคำและนี่ก็ไม่ใช่อาหารที่หรูหราแต่เป็นเพียงต้มง่ายๆแต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากเพราะสำหรับเขาแล้วอาหารเป็นเพียงสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตเท่านั้นและไม่จำเป็นที่จะต้องเลิศหรูอะไรใดๆ
ใบดาบนั้นเป็นดาบธรรมดาๆและไม่มีความวิจิตรตระกาลตาใดๆและมันดูไม่งดงามเหมือนดาบที่มีชื่อเสียงแต่มันดูมืดมนและน่าเกรงขามอย่างมากโดยใบดาบยาว 2 ฟุต และเป็นสีดำทั้งหมด
หลังจากกินข้าวเสร็จชายหนุ่มก็ทำความสะอาดและเมื่อหันไปมองข้างนอกแล้วพายุทรายข้างนอกก็ยังคงโหมกระหน่ำราวกับพายุทอร์นาโดที่บ้าคลั่งที่พัดไปทั่วทะเลทราย ซึ่งไม่ไกลจากตรงนั้นมีพ่อค้าอูฐถูกพายุดูดเข้าไปและส่งเสียงร้องคร่ำครวญแต่น่าเสียดายที่พายุพัดแรงจนไม่มีใครได้ยิน ที่ประตูถ้ำนั้นชายหนุ่มเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างเงียบๆโดยไม่มีสีหน้าใดๆทั้งสิ้น
สิบปีมานี้เขาได้ละทางโลกและเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
เมื่อเห็นว่าพายุทรายไม่จบลงสักทีชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อยจากนั้นเขาก็พุ่งออกไปในทันทีพร้อมกับดาบในมือเป็นแสงสีดำและฟันไปที่พายุทอร์นาโดที่โหมกระหน่ำจนพายุนั้นแตกสลายและหายไปในทันที!
ณ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเมืองซีจิง! เย่เชียน,หลินเฟิงและจินเหว่ยห่าวแวะกินอาหารเช้าแล้วขับรถไปยังจุดหมายปลายทาง จากระยะไกลพวกเขาเห็นพายุทอร์นาโดลอยอยู่เหนือทะเลทรายและทรายปลิวว่อนเต็มไปด้วยกรวดและก้อนหินและทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะพลาดแล้วเพราะถ้าดูจากความรุนแรงของพายุทอร์นาโดแล้วอย่างน้อยๆมันควรจะอยู่ในระดับสิบ” หลินเฟิงพูด
“เอาเถอะถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรเพราะงั้นถ้าเราผ่านไปไม่ได้จริงๆก็กลับไปพักผ่อนกันอีกสักคืนก็ได้” เย่เชียนพูด “ความโหดร้ายของธรรมชาตินี่น่าทึ่งจริงๆ”
“ฉันไม่รู้ว่านี่เป็นการแก้แค้นมนุษย์ของธรรมชาติหรือเปล่า” จินเหว่ยห่าวพูด “ภาคตะวันตกเฉียงเหนือพัฒนาอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแต่กลับไม่สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมเลยเพราะงั้นมันจึงส่งผลให้พืชพรรณแห้งแล้งและสูญเสียจนเกิดปัญหารุนแรงมากขึ้นและพายุทรายก็ดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นด้วย..ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปภายในร้อยปีฉันคิดว่าภาคตะวันตกเฉียงเหนือจะกลายเป็นเหมือนทะเลทรายโกบีอย่างแน่นอน”
“ก็นะสิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา” เย่เชียนพูด “เรื่องนี้มันต้องให้เบื้องบนออกนโยบายอนุรักษณ์ธรรมชาติและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลและแก้ไขแต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าหน้าที่รัฐสมัยนี้เป็นพวกกินบ้างกินเมืองและมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจซะมากกว่าและไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า..นี่ก็เหมือนกับสภาพการเป็นอยู่ของชาวจีนที่ต่อให้พัฒนาเศรษฐกิจไปมากแค่ไหนแต่การกินอยู่และการอาศัยของประชาชนก็ยังอยู่เท่าเดิมและนั่นก็ทำให้เกิดการปั้มธนบัตรอย่างบ้าคลั่งและนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อจนทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นทุกวันๆและสุดท้ายคนยากไร้ก็จะไร้บ้านไร้ที่อยู่อาศัยเหมือนเดิมและต่อให้เก็บเงินมาทั้งชีวิตแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย”
“เย่เชียนฉันคิดว่าถ้านายได้เป็นผู้นำประเทศล่ะก็นายน่าจะทำได้ดีกว่าพวกคนเฒ่าคนแก่พวกนั้นเยอะและนายจะเป็นความหวังของประชาชนคนธรรมดาทั่วประเทศ” หลินเฟิงพูดแล้วฉีกยิ้ม
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากองทุนเพื่ออนาคตของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปได้เดินทางไปทั่วประเทศจีนและถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปที่นั่นแต่ทุกๆครั้งผมก็เห็นโรวโร่วกลับมาจากพื้นที่ยากจนเหล่านั้นและบอกตามตรงว่าผมรู้สึกไม่ดีและโกรธแทนพวกเขาจริงๆที่รัฐบาลจีนของเราไม่แก้ไขปัญหานี้สักที” เย่เชียนพูด “ผมจำได้ว่าโรวโร่วบอกว่ามีโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ภูเขาที่ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกลมากและนับประสาอะไรกับสนามบาสเก็ตบอลหรือสนามฟุตบอลเพราะทั้งโรงเรียนและบ้านยังทรุดโทรมมากและแทบจะไม่สามารถทนลมแดดและลมฝนได้ลเย..เด็กเหล่านั้นได้กินเนื้อสัตว์เพียงเดือนละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นและส่วนใหญ่พวกเขาก็จะกินกะหล่ำปลีต้มกับน้ำซุปกัน..ให้ตายเถอะ..ที่แย่กว่านั้นก็คือที่นั่นไม่มีครูสอนหนังสือ..ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมกระทรวงการศึกษาถึงไม่แก้ปัญหานี้กันสักที..พวกเขาได้รับเงินภาษีมากมายแต่กลับไม่ทำอะไรเลย..ถ้าผมเป็นกระทรวงศึกษาล่ะก็ผมจะออกคำสั่งโดยตรงและส่งครูผู้สอนกระจายไปทั่วทุกพื้นที่อย่างครอบคลุมและผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าปัญหานี้จะแก้ไขไม่ได้เพราะถ้าหากจะทำจริงๆมันก็ไม่ได้ยากเลย..กระทรวงการศึกษาก็แค่ส่งครูผู้สอนไปยังพื้นที่ภูเขาเหล่านั้นโดยให้เงินเดือนที่สูงกว่าปกติและผลัดเปลี่ยนกันหนึ่งปีหรือสองปีต่อคนและถ้าใครปฏิเสธก็เลิกจ้างซะ”



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดนักรบจอมราชัน